พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า หลังจากนี้จะมอบหมายให้ พ.ต.ท.วีระศักดิ์ ขจรศรีเพชร รอง ผกก.(สอบสวน) สน.บางยี่ขัน เดินทางไปสอบปากคำ น.ส.พรปวีณ์ ชูแก้ว อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาเพื่อนสาวคนสนิทอีกคนของ นายพิสิษฐ์ ซึ่งมีหมายจับคดีเดียวกัน และถูกคุมขังอยู่ในอำนาจศาลจังหวัดชุมพรคดีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ยาบ้าจำนวน 500,000 เม็ด ตั้งแต่เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ส่วนนายพิสิษฐ์ และ น.ส.ฐิตาภา นั้น ตนได้คัดค้านการให้ประกันตัว เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนี ซึ่งในวันพรุ่งนี้จะส่งตัวทั้ง 2 ราย ไปฝากขังที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน และได้สั่งการให้ทีมพนักงานสอบสวนคดีนี้เร่งสรุปสำนวนส่งให้อัยการภายในระยะเวลา 12 วัน หรือระยะการฝากขังผัดแรก เพื่อให้เป็นคดีตัวอย่างของผู้มีอาชีพซึ่งได้รับความไว้วางใจจากประชาชน แต่กลับมากระทำผิดด้วยการหลอกลวงผู้พิการและผู้ไม่รู้กฎหมาย พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวอีกว่า จากการพูดคุยกับ นายพิสิษฐ์ ยอมรับว่าเงิน 5 แสนบาทที่อ้างว่าเป็นค่าทนายความนั้นนำไปเพื่อเป็นทุนการศึกษา เนื่องจากกำลังเรียนอยู่ในระดับปริญญาเอก และหลังจากนี้จะพยายามประสานญาติพี่น้องให้ช่วยหาเงินมาคืนให้กับผู้เสียหาย อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ตนได้ให้ฝ่ายสืบสวนช่วยกันสืบสภาพทรัพย์สินเอาไว้ก่อนแล้ว พบว่า ทั้งบ้านและรถของ นายพิสิษฐ์ ยังอยู่ระหว่างการผ่อนค่างวด อีกทั้งกำลังพิจารณาว่าจะแจ้งข้อหาดำเนินการกับผู้ให้ที่พักพิงแก่ นายพิสิษฐ์ ในช่วงหลบหนีหมายจับด้วยหรือไม่ ถ้าผิดก็จะดำเนินการตามกฎหมายให้เห็นเป็นตัวอย่าง ทว่าตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่อยากระบุไปก่อนว่าคือใคร เดี๋ยวจะกลายเป็นการไปหมิ่นประมาทเขา ด้าน น.ส.พรทิพย์ กล่าวว่า ทันทีที่ได้พบหน้า นายพิสิษฐ์ เห็นว่าสภาพร่างกายเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่ได้ดูดีเหมือนเมื่อก่อนที่เป็นทนายความ ทั้งนี้ เมื่อเจอตนนายพิสิษฐ์ ได้กล่าวขอโทษและยกมือไหว้ตน แต่ตนยังไม่ได้พูดคุยอะไรด้วยมาก เพราะน้องบีมลูกสาวห้ามเอาไว้ กลัวว่าตนจะใจดีสงสารยอมไว้วางใจอีก จากนี้จึงอยากให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนเรื่องของเงินทั้งหมดนั้น ตนรู้สึกมีหวังที่จะได้คืนน้อยมาก หากไม่ได้คืนมาจริงๆ ก็จะคิดเข้าข้างตัวเองแบบปลงๆ ไปว่า ไม่เป็นไรมันไม่ใช่เงินของเรา.