เวลา 12.00 น. วันที่ 22 มิถุนายน ที่ สภ.เมืองอุดรธานี นางศิริวรรณ นามวงษา อายุ 47 ปี อยู่ที่ 265 ม.4 บ.เหล่าใหญ่ ต.แชแล อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ได้เข้าแจ้งความแจ้งลงบันทึกประจำวันต่อ ร.ต.อ.จักรกฤษณ์ ศรีกงพาน พนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ว่าถูกนายกฤษรชฏะชษตว์ กฤตพิพัฒนโภคิน อ้างตัวเป็นผู้สื่อข่าว เรียกรับเงินเพื่อความสะดวกในการทำธุรกิจปล่อยเงินกู้ โดยได้เรียกเงินจากตนไป 6 แสนบาท และรถกระบะนิสสัน นาวาร่า ทะเบียน บห 1306 อุดรธานี ซึ่งตนได้โอนเงินให้ไป แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลือตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด และยังมีการขู่กรรโชกทรัพย์อย่างต่อเนื่อง เกรงว่าจะได้รับอันตรายในชีวิตและทรัพย์สิน จึงนำหลักฐานเอกสารการโอนเงิน และการติดต่อสื่อสาร มาเป็นหลักฐาน
นางศิริวรรณฯ เปิดเผยว่า มีอาชีพรับซื้อยางพารา ในเขตจังหวัดบึงกาฬ และปล่อยเงินกู้ ร้อยละ 3 ในพื้นที่ อ.กุมภวาปี เป็นอาชีพเสริม จะให้กู้เฉพาะผู้ที่รู้จักสนิทสนมเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าร้าน ไม่มีการจำนองจำนำแต่อย่างใด ประมาณต้นปี ได้รู้จักกับนายกฤษรชฏะชษตว์ฯ ผ่านทางโปรแกรมสื่อสาร "สไกป์" ในอินเตอร์เน็ต เพิ่งจะหัดเล่นสมาร์ทโฟนได้ไม่นาน โดยนายคนนี้อ้างว่า เป็นนักข่าวอยู่ที่กรุงเทพฯ รู้ว่าตนปล่อยเงินกู้ และบอกว่าการปล่อยเงินกู้มีความผิดทางกฎหมาย แต่หากจะให้ช่วยเหลือในเรื่องนี้ จะต้องจ่ายเงินเป็นค่าดำเนินการให้ เพราะนายคนนี้บอกว่ารู้จัก ตำรวจ ทหาร หรือ ผู้มีอิทธิพล จะได้รับความสะดวก
ที่ผ่านมาเคยนัดเจอกัน 1 ครั้ง ที่โรงแรมเซ็นทารา อุดรธานี เมื่อ 6 เดือนก่อน หลังจากนั้นได้ติดต่อผ่านทางโทรศัพท์ และโปรแกรมไลน์ จะติดต่อมาเพื่อขอเงินค่าดำเนินการเป็นระยะ ตนหลงเชื่อและเกรงว่าจะไม่ได้รับความสะดวก จึงโอนเงินให้ตามแต่จะถูกเรียกมา มากสุด 2.5 แสนบาท และยังส่งรถกระบะไปให้ใช้อีก 1 คัน พร้อมทั้งข่มขู่ให้ตนไปลงทุนจดทะเบียนเปิดบริษัทร่วมกัน (บ.ออน คอร์ป จำกัด) สูญเงินไปทั้งหมด 6 แสนบาท หลังจากนั้นไม่นานก็มีรุ่นน้องที่รู้จักกันให้ข้อมูลว่าโดนข่มขู่เรียกรับเงินเหมือนกัน จึงพยายามเก็บรวบรวมเอกสารการติดต่อทั้งหมด และพูดคุยกับนายกฤษรชฏะชษตว์ฯ ให้เลิกช่วยเหลือ ให้ถอนชื่อออกจากบริษัท เกรงว่าจะติดร่างแหไปด้วยหากถูกนำไปใช้ในทางไม่ดี
หลังจากนายกฤษรชฏะชษตว์ฯ รู้ว่าตนเริ่มจับได้ ตัดขาดทางการเงิน จนมีการข่มขู่ว่าหากไม่โอนเงินให้อีก จะลักพาตัวลูกสาวไป จึงเกิดความกลัว กังวลว่าลูกสาวจะได้รับอันตราย จึงมาลงบันทึกประจำวันไว้ ยอมรับว่าเสียรู้ ตนปล่อยเงินกู้ ร้อยละ 3 ก็กลัวจะถูกจับจึงยอมโอนเงินให้ไป ขั้นตอนต่อไปกำลังนัดหมายกับเหยื่อรายอื่น ประสานไปยังหน่วยทหารในพื้นที่เพื่อขอความช่วยเหลือ เงินไม่สำคัญ ชีวิตของครอบครัวตนสำคัญกว่า จึงต้องออกมาต่อสู้ในครั้งนี้