svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

ผลตรวจร่างกายเด็กหญิง13 ปี ไม่พบร่องรอยข่มขืน

26 สิงหาคม 2559
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ผลตรวจร่างกาย เด็กหญิงวัย 13 ปี ที่หายตัวไปจากงานเทกระจาดที่นครราชสีมา แพทย์ระบุ ไม่พบร่องรอยการถูกข่มขื่น

ความคืบหน้ากรณีเด็กหญิง วัย13ปี ที่หายตัวไปในเทกระจาด ที่ทางมูลนิธิสว่างเมตตานครราชสีมา จัดขึ้นเมื่อวันที่ 23ส.ค.59ที่ผ่านมา และเมื่อที่ผ่านมา25ส.ค.59ผู้ใหญ่บ้านหนองหญ้าขาว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ได้มีการนำตัวเด็กหญิง วัย13ปี มาส่งให้กับมารดา ที่บ้านหนองหอยตำบลโนนค่า อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา หลังจากที่มีชาวบ้านพบว่าเด็กที่หายตัวไปอยู่อยู่ภายในหมู่บ้านหนองหญ้าขาว ด้วยสภาพร่างกายที่อิดโรยและมีร่องรอยบอบช้ำตามร่างกาย ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดบ่ายวันนี้ (26ส.ค.59) ที่ห้องสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา เด็กชายบี (นามสมมุติ) อายุ 13 ปี ผู้ต้องสงสัยที่ถูกเด็กหญิงเอ (นามสมมุติ) อายุ 13 ปี ที่หายตัวจากงานเทกระจาดของทางมูลนิธิสว่างเมตตาที่จัดขึ้นเมื่อวันที่23 ส.ค.659 ที่ผ่านมา ได้เดินทางมาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมกับบิดา เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมหลังถูกพาดพิงว่าเป็นผู้ที่ได้นำตัวเด็กหญิงเอ ไปอยู่ที่บ้านที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา จนกระทั้งทราบว่าก็ได้มีการออกข่าวตามหาเด็กหญิงวัย 13 ปี จึงได้มีการให้เพื่อนนำตัวมาส่งให้กับผู้ใหญ่บ้านหนองหญ้าขาว เพื่อนำตัวมาส่งกลับคืนครอบครัว ที่อำเภอสูงเนิน
ด้านเด็กชายบี (นามสมมุติ) อายุ 13 เปิดเผยว่า ตนเองนั้นยอมรับว่าได้รู้จักกับเด็กหญิงเอ จริง โดยเคยรู้จักกันมาก่อนที่งานเทกระจาดที่ทางมูลนิธิในพื้นที่อำเภอสูงเนินจัดขึ้น และหลังจากนั้นก็ได้มีการพูดคุยติดต่อผ่านทางโทรศัพท์และโปรแกรมเฟสบุ๊ค จนกระทั่งวันที่เดินทางมารับของในงานเทกระจาดที่มูลนิธิสว่างเมตตาตนเองได้เดินทางมารับของเทกระจาดกับเพื่อนบ้าน ประมาณ 10 คน โดยได้นั่งรถยนต์กระบะมา จนกระทั่งพบกับเด็กหญิงเอ อีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้เด็กหญิงเอ ได้เดินเข้ามาหาตนก่อนที่จะขอติดรถกลับบ้านด้วยซึ่งในระหว่างนั้นจึงได้มีการพูดคุยเพื่อชักชวนให้ไปเล่นที่บ้านของตนที่ อำเภอสีคิ้ว และเมื่อเดินทางถึงบ้าน เพื่อนบ้านที่ไปร่วมงานด้วยกันก็ต่างพากันแยกย้ายกลับบ้าน ตนจึงเดินไปยังบ้านของตนเองพร้อมกับเด็กหญิงเอ ประมาณ 17.00 น. จนกระทั่งเมื่อเวลา 18.00 น. บิดาของตนเองได้ออกมาพบว่าตนได้พาเด็กหญิงเอ มาที่บ้านจึงได้บอกให้ตนนั้นขับขี่รถจักรยานยนต์ออกไปส่งที่บ้าน แต่ในระหว่างทางที่ตนเองได้ขับรถออกมาส่งเด็กหญิงเอ บอกไม่ยังไม่อยากจะกลับบ้าน ตนจึงไม่รู้ว่าจะพาไปไหนเนื่องจากเส้นทางในหมู่บ้านนั้นมืด จึงตัดสินใจพาขี่รถจักรยานยนต์นั้นกลับไปยังบ้านพักของตนเอง ซึ่งในระหว่างนั้นพ่อของตนได้นอนหลับอยู่ในบ้าน ซึ่งตนเองยืนยันว่าตนเองไม่ได้มีการกักขังหรือข่มขืนเด็กหญิงเออย่างแน่นอน เพียงแต่มีแค่การจูบกอดและดูดคอ เพียงเท่านั้น


จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. บิดาของตนก็มาพบ แต่เห็นมันดึกแล้ว พ่อของตนจึงกลับเข้าไปนอน จนกระทั่งตอนเช้าพ่อของตนยังพบว่าเด็กหญิงเอ ยังไม่กลับบ้าน จึงสั่งให้ตนเองนั้นนำเด็กหญิงเอ ไปส่งให้กับผู้ใหญ่บ้าน หลังพบว่ามีการออกข่าวเด็กหญิงที่หายตัวไปจากงานเทกระจาด ซึ่งก็เป็นเด็กหญิงเอ ตนจึงให้เพื่อนนั้นพาเด็กหญิงเอไปส่งให้กับผู้ใหญ่บ้าน จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้เข้ามาเชิญตัวมาสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา ดังกล่าว


ด้านบิดาเด็กชายบี เปิดเผยว่า ตอนแรกที่ลูกชายตัวเองเดินทางมาถึงบ้านก็ยังไม่รู้ว่าได้พาเด็กหญิงเอ มาที่บ้าน จนกระทั่งประมาณ 18.00 น. ถึงทราบว่าลูกชายได้พาผู้หญิงมาบ้านตนจึงรีบบอกให้ลูกชายนั้นพาเด็กหญิงเอ กลับไปส่งที่บ้าน ซึ่งตนเองก็คิดว่าลูกชายนั้นได้ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปส่งแล้วจนกระทั่งประมาณ 02.00 น. ตนเองยังพบว่าเด็กหญิงเอ ยังอยู่ที่บ้าน แต่ด้วยความเพลียจึงไม่ได้สนใจเลยเผลอหลับไป จนกระทั่งช่วงเช้ายังพบว่าเด็กหญิงเอ นั้นยังคงอยู่ที่บ้าน ตนจึงรีบให้ลูกชายตนนำเด็กหญิงเอไปส่งให้กับผู้ใหญ่บ้านเพื่อไปส่งให้กับครอบครัว

พันตำรวจเอกปฏิยุทธ สิงห์สมโรจน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา เปิดเผยถึงความคืบหน้าการสอบสวนและผลการตรวจร่างกายของเด็กหญิงเอ ที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการส่งตัวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา พบว่า ผลการตรวจร่างกายของเด็กหญิงเอ ไม่พบร่องรอยของการถูกข่มขืน พบเพียงแต่ร่องรอยที่ลักษณะห้อเลือดเป็นจ้ำที่บริเวณลำคอ จากการดูด ซึ่งหลังจากนี้ไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะต้องทำการสอบสวนเด็กหญิงเอ เพิ่มเติมเพื่อรวมรวบพยานหลักฐานต่างๆว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นจะแจ้งข้อกล่าวหากับเด็กชายเอในฐานความผิดอะไรบ้าง ส่วนการที่เด็กหญิงเอ ได้เล่าให้กับญาติพี่น้องว่า ตนเองนั้นถูกกักขังไม่ให้กินอาหารและถูกข่มขื่น คาดว่าเด็กหญิงเอ น่าจะเกิดจากอาการที่กลัวว่าจะถูกบิดามารดา ดุด่า ที่ทำให้ครอบครัวและทุกคนเป็นห่วง จึงทำให้เล่าเหตุการณ์ต่างๆวกไปวนมาจนทำให้ให้ทุกคนนั้นเข้าใจผิด พันตำรวจเอกปฏิยุทธฯกล่าว

logoline