พล.ต.ท.ณัฐธร เปิดเผยว่า ได้รับการประสานจากทางการญี่ปุ่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อขอให้ติดตามตัวนายยาซูโอะ ทะซึบากิ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาล ประเทศญี่ปุ่น ในคดีความผิดการค้าหลักทรัพย์ สืบเนื่องจากเมื่อปี 2544-2548 ขณะที่นายยาซูโอะ ทะซึบากิเป็นทนายความของบริษัทOHT ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องจักรชื่อดังในญี่ปุ่น
โดย นายยาซูโอะ ทะซึบากิ ได้ร่วมกับพวกอีก2 คนเปิดบัญชีกว่า 526 บัญชีผ่านบริษัทหลักทรัพย์อื่นๆกว่า 41 แห่ง เพื่อมากวาดซื้อหุ้นในบริษัทOHT ก่อนจะปั่นราคาหุ้นจากหุ้นละ200,000เยน จึ้นเป็นราคาหุ้นละ 1.2-1.5 ล้านเยน จากนั้นจึงจะขายทิ้งทั้งหมด ทำให้มีมูลค่าความเสียหายกว่า 12,000 เยน หรือคิดเป็นเงินไทย 4,000ล้านบาท โดยสื่ออมวลชนญี่ปุ่นได้ลงข่าวว่าการปั่นหุ้นดังกล่าวนั้นถือเป็นความเสียหายมากที่สุดในประวัติกาลตลาดหุ้นญี่ปุ่น
ก่อนที่นายยาซูโอะ ทะซึบากิจะหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยพร้อมศัลยกรรมใบหน้า (Face off)จนไม่มีใครจำได้ิ จากนั้นปี 2550 ศาลแขวงไซตามะ ประเทศญี่ปุ่น ได้ออกหมายจับนายยาซูโอะ ทะซึบากิและพวกอีก2คน ก่อนพวกทั้ง2คนจะถูกจับกุมตัวดำเนินคดีในประเทศญี่ปุ่น ขณะที่นายยาซูโอะ ทะซึบากิ ยังคงหลบหนีในประเทศไทย โดยเช่าคอนโดหรูย่านสุขุมวิท ในราคาเดือนละ100,000บาท ก่อนจะมาเช่าบ้านพักย่านพระราม 2 ในราคาเดือนละ 30,000 บาท รวมระยะเวลาหลบหนีในไทยกว่า 11ปี โดยไม่ได้ประกอบอาชีพใดเลย กระทั่งเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ตำรวจตม.ทราบว่านายยาซูโอะ ทะซึบากิ มาต่อวีซ่า ที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ จึงนำกำลังเข้าจับกุม
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า จากการสอบถามเบื้องต้น นายยาซูโอะ ทะซึบากิรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับ แต่ยังไม่ได้ให้รายละเอียดอย่างอื่น ขณะที่ตรวจสอบพบว่าขณะอยู่ที่ญี่ปุ่นนายยาซูโอะ ทะซึบากิ เคยมีภรรยาเป็นนักข่าวสถานีโทรทัศน์ชื่อดังของญี่ปุ่นก่อนจะหลบหนีมาไทย ซึ่งพบว่ามีคนไทยเป็นผู้เปิดหมายเลขโทรศัพท์ และเปิดบัญชีธนาคารให้ และคาดว่าน่าจะมีภรรยาเป็นคนไทยด้วย ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมถึงในส่วนยอดเงินหมุนเวียนในบัญชีเช่นกัน อย่างไรก็ตามแม้ทางนายยาซูโอะ ทะซึบากิ จะยังไม่ให้ข้อมูลอะไรมาก แต่ทางเอกสารและหลักฐานต่างๆยืนยันตัวบุคคลนายยาซูโอะ ทะซึบากิ ขณะเดียวกันทางการญี่ปุ่นก็ได้นำดีเอ็นเอของนายยาซูโอะ ทะซึบากิไปพิสูจน์ทราบเช่นกัน
เบื้องต้นตำรวจได้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ตามพ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ ซึ่งมีพฤติการณ์เป็นภัยสังคม ก่อนจะผลักดันกลับประเทศญี่ปุ่นต่อไป