svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

เปิดคำแถลง "ดีเอสไอ" กรณีรถยนต์ เบนซ์ และ แพนเธอร์

22 กรกฎาคม 2559
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

พันตำรวจเอก ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจตรี สุริยา สิงหกมล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการคดีพิเศษภาค นายนิธิต ภูริคุปต์ ผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ พันตำรวจโท พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร และนายมเหสักข์ พันธ์สง่า พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ ร่วมกันแถลงว่า ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้สืบสวนสอบสวน กรณีการครอบครองรถยนต์ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนอุปกรณ์รถเก่า (รถจดประกอบ) ของพระเถระชั้นผู้ใหญ่ เนื่องจากคดีเป็นที่สนใจของประชาชนและสื่อมวลชนโทรศัพท์มาสอบถามความคืบหน้าตลอดเวลา กรมสอบสวนคดีพิเศษจึงแถลงความคืบหน้า ดังนี้

1. กรณีรถยนต์โบราณยี่ห้อ PANTHER ของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ วัดไผ่ล้อม
กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการสอบสวนแล้ว พบว่า รถยนต์ดังกล่าวมีการสำแดงการนำเข้า โครงรถยนต์เป็นยี่ห้อ PANTHER สำแดงเครื่องยนต์เป็นยี่ห้อ JAGUAR หมายเลขตัวรถ 731 หมายเลขเครื่องยนต์ 8L 66240-L ตรงตามที่ระบุบนแผ่นโลหะที่ติดอยู่ที่เครื่องยนต์ด้านซ้าย ไม่พบร่องรอยการขูดลบหรือแก้ไขหมายเลขตัวถัง หมายเลขเครื่องยนต์ หรือหมายเลขเกียร์ ไม่พบร่องรอยการเจาะบริเวณท่อไอดี ไม่พบรอยเสียดสีใหม่ของน็อตบริเวณใต้ท้องรถยนต์ 
ผลการสอบสวนพบว่า รถยนต์ดังกล่าวยี่ห้อแท้จริงเป็นรถยนต์ยี่ห้อ PANTHER ไม่ใช่ยี่ห้อ JAGUAR และมีการจดทะเบียนเป็นรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นคัน และมีการขายต่อกัน 2-3 ทอด ก่อนที่พระครูปลัดฯ จะขอซื้อรถยนต์จากเจ้าของร้านอาหารแห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วทำการจ้างคนไทยในประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อ P-BOY แยกชิ้นส่วนออกจากกันเป็นเครื่องยนต์ และโครงตัวถังรถยนต์ ลำเลียงขึ้นเรือต่างลำกัน ต่างวันเวลากัน เพื่อนำเข้ามายังราชอาณาจักรไทย ใช้ชื่อตนเองเป็นผู้นำเข้า "เครื่องยนต์" และมีการปลอมลายมือชื่อนายชรินทร์ฯ นำเข้า "โครงตัวถัง" ก่อนจะทำเอกสารเท็จว่าซื้อโครงตัวถังจากนายชรินทร์ฯ 
จากนั้นไปทำการจดประกอบเป็นรถยนต์กับ "โรงประกอบ นายธีรวุฒิ จังหวัดสมุทรสาคร" ชำระค่าภาษีสรรพสามิตกับกรมสรรพสามิตถูกต้องและจดเบียนเป็นรถยนต์ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ในชื่อของตนเอง จากหลักฐานเชื่อว่ารถยนต์คันนี้มีการแยกชิ้นส่วนแล้วนำมาจดประกอบจริง โดยพระครูมีเจตนาแต่ต้นจะนำรถยนต์เข้ามาทั้งคัน แต่ประเทศไทยไม่อนุญาตให้นำรถยนต์เก่าใช้แล้วเข้ามาในราชอาณาจักร จึงหลีกเลี่ยงวิธีการนำเข้าด้วยการแยกชิ้นส่วนกัน 
ทางคดีจึงพิจารณาว่า ผู้นำเข้า "เครื่องยนต์" และ ผู้นำเข้า "โครงตัวถัง" มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอันถือว่าเป็นบุคคลเดียวกัน อันเข้าข่ายเป็นความผิดฐาน "หลีกเลี่ยงอากร" ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ประกอบกับมาตรา 6 พระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาเรียกเก็บอากรในส่วนที่ขาด (เพิ่มเติม) จากกรมศุลกากร เมื่อได้รับผลแล้วจะได้ดำเนินการเรียกผู้ต้องหามาแจ้งข้อหาต่อไป

เปิดคำแถลง "ดีเอสไอ" กรณีรถยนต์ เบนซ์ และ แพนเธอร์


2. กรณีการสอบสวน รถยนต์ยี่ห้อ Mercedes-Benz รุ่น 300 บีการสอบสวนพบมีผู้กระทำผิดแบ่งเป็นกรณี ดังนี้
(1) กลุ่มผู้นำเข้าพิธีการศุลกากรต่อกรมศุลกากร
พบความผิดเกี่ยวกับการนำเข้าเครื่องยนต์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีการปลอมเอกสารการนำเข้าเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐหลงผิดในของที่นำเข้า จึงบ่งชี้ถึงเจตนาผู้นำเข้าว่ากระทำผิดฐาน "ร่วมกันลักลอบหนีศุลกากร หรือ ซื้อหรือรับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งของหนีภาษีศุลกากร" ตามมาตรา 27 และมาตรา 27 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ซึ่งในกลุ่มนี้ได้จับกุมผู้กระทำความผิดแล้ว 1 ราย อยู่ระหว่างเรียกตัวมาแจ้งข้อหาอีก 2 ราย
(2) กลุ่มผู้ประกอบรถยนต์และชำระภาษีไม่ครบถ้วนต่อกรมสรรพสามิต
พบการกระทำผิดว่ามีการปลอมลายมือชื่อโรงประกอบรถยนต์ผู้อื่น และแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ว่าประกอบรถยนต์ แสดงมูลค่าราคารถยนต์ในการขอชำระภาษีสรรพสามิต ราคา 570,000 บาท เพื่อให้มีการเก็บค่าภาษีเข้ารัฐต่ำกว่าความเป็นจริง แต่ความจริงรถยนต์มีการซื้อขายกันที่ราคา 4,000,000 บาท ข้อเท็จจริงจึงถือว่ามีการประกอบรถยนต์จริง ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 แต่ชำระภาษีไม่ถูกต้องและครบถ้วน กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการส่งเรื่องให้กรมสรรพสามิตประเมินภาษีเพิ่มเติมแล้ว รอผลการพิจารณาของกรมสรรพสามิต

เปิดคำแถลง "ดีเอสไอ" กรณีรถยนต์ เบนซ์ และ แพนเธอร์


(3) กลุ่มผู้ที่นำรถไปชำระภาษีและจดทะเบียนต่อกรมการขนส่งทางบก
พบการกระทำผิดเกี่ยวกับกรณีการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จของผู้แจ้งขอจดทะเบียนที่ได้รับมอบอำนาจจากผู้รับโอนว่ามีการซื้อขายรถยนต์กันที่ราคา 1,000,000 บาท แต่ความจริงมีการซื้อขายรถยนต์กันจริงที่ 4,000,000 บาท ทำให้รัฐรับชำระค่าอากรแสตมป์ไม่ครบถ้วน ทำให้รัฐเสียหายจำนวน 105,000 บาท ขั้นตอนนี้มีความผิดฐาน "ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย, ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชน หรือ เอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน" ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ, และมาตรา 267 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 6พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ประกอบมาตรา 83
(4) กลุ่มผู้ครอบครองรถ
พบการกระทำผิดเกี่ยวกับการครอบครองรถยนต์ที่ประกอบขึ้นโดยมีการชำระภาษีไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติ ผู้ครอบครองมีการร่วมกันครอบครองต่อเนื่องตั้งแต่การประกอบรถยนต์เสร็จสิ้นจนถึงปัจจุบัน โดยจากพยานหลักฐานเชื่อว่าผู้ครอบครองย่อมรู้ว่ารถยนต์ดังกล่าวเป็นรถยนต์ที่ได้มาโดยไม่ชอบตามกฎหมาย อันมีความผิดฐาน "ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน"
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ดำเนินการออกหมายเรียกบุคคลที่มีความผิดตามกฎหมายมาดำเนินคดีต่อไปโดยเร็ว หากผลการดำเนินการมีความคืบหน้าเป็นประการใด จะประชาสัมพันธ์ให้ทราบโดยเร็ว

เปิดคำแถลง "ดีเอสไอ" กรณีรถยนต์ เบนซ์ และ แพนเธอร์

logoline