ทั้งนี้เนื่องจากได้รับรายงานว่าที่วัดนี้มีการตรวจรักษาโรคให้ประชาชนทั่วไปโดยไม่ถูกต้อง และไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งสร้างความเชื่อที่ผิดๆให้กับประชาชน ซึ่งใช้วิธีการที่เรียกว่า รักษาพิษทางเท้า โดยการนำเอาเครื่องชาร์ตแบตเตอรี่ขนาด 24 โวลท์ 6 แอมแปร์ มาต่อขั้วบวกกับขั้วลบไปยังตัวรับกระแสรวมประจุไฟฟ้าแล้วจุ่มไว้ในกาละมังพลาสติกใส่น้ำขนาด 1 ฟุต โดยผู้ป่วยที่มารับการรักษาจะต้องเอาเท้าจุ่มลงไปในกาละมังดังกล่าว โดยในน้ำจะมีเกลือแกงผสมละลายอยู่
โดยผู้ที่มารับการรักษาจำนวนมากที่มาจากหลายจังหวัด เช่น จากบุรีรัมย์ เชียงใหม่ นครสวรรค์ และจังหวัดใกลฃ้เคียง และแต่ละวันจะมีผู้มารักษาหลายร้อยคน บางวันมาถึงกว่า 500 คน ซึ่งแต่ละคนที่มารับการรักษาจะมีโรคต่างๆกัน เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต ปวดขา ปวดเข่า ปวดเอว และปวดหลัง โดยทุกคนจะได้รับการรักษาแบบเดียวกันคือ เอาเท้าจุ่มลงไปในกาละมังน้ำ ครั้งละประมาณ 20 คน น้ำจะเปลี่ยนสี ทำให้ผู้ป่วยคิดว่าตนเป็นโรคแล้วมีการขับออกมาทางฝ่าเท้า ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิด โดยทางสาธารณสุขจังหวัดแจ้งว่า ที่จริงแล้วไม่ใช่การรักษาโรคที่ถูกวิธี ส่วนที่น้ำเปลี่ยนสีนั้นเกิดจากปฏิกิริยาทางวิทยาศาสตร์ระหว่างประจุไฟฟ้ากับเกลือแกง ที่เรียกว่า Floculation คือการกระตุ้นให้เกิดการรวมตัวของอนุภาคในน้ำ เพราะเกลือมีสารโซเดียมและคลอรีน พอลงไปผสมน้ำร่วมกับกระแสไฟฟ้าทำให้น้ำเปลี่ยนสีกลายเป็นสีขุ่นคล้ายโคลน ถ้าเป็นน้ำกลั่นบริสุทธิ์ จะไม่เกิดปฏิกิริยา และไม่มีการเปลี่ยนสี
จากการเข้าไปตรวจสอบไม่พบผู้ใด และไม่พบการรักษาโรคดังกล่าว น่าจะเกิดจากการที่มีคนแอบจ้างไปทางสำนักสงฆ์ จึงไหวตัวทัน ทำให้การตรวจค้นไม่พบแต่อย่างใด พบเพียงแม่ชี 1 คน ชื่อ นางสาวแมว ดาดำ อายุ 62 ปี ให้การว่า ตนมาอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ได้นานประมาณ 3 ปีแล้ว ในปีที่ผ่านมา เจ้าอาวาสวัดชื่อ หลวงพ่อแสง กับพระอาจารย์เทิด รองเจ้าอาวาส ได้เอาหลักสูตรการรักษาโรคนี้มาจากลูกศิษย์ที่เป็นแพทย์ทหาร ซึ่งเกษียณอายุราชการแล้ว อยากจะช่วยเหลือผู้ป่วย จึงนำมาทำการรักษาจนมีข่าวเผยแพร่ไป และมีผู้นำเครื่องชาร์ทแบตเตอรี่มาถวายให้ จึงทำการเปิดรักษาโรคมาตลอด โดยไม่มีการเรียกร้องค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด แล้วแต่ศรัทธาว่าจะทำบุญเท่าไหร่ก็ได้
เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถามถึงเจ้าอาวาส ทราบว่าไม่อยู่ที่วัด ได้เดินทางไปอยู่ปริวาสกรรมที่วัดเกตุคีรี ส่วนรองเจ้าอาวาสไปประชุมกับเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ เจ้าหน้าที่จึงนำตัวแม่ชีมาทำการสอบปากคำเพื่อขยายผลหาตัวผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาสอบถามถึงการทำเรื่องขออนุญาตรักษาโรค และตรวจพบของกลางที่ใช้ในการรักษาโรค ประกอบด้วย เครื่องชาร์ทแบต กาละมัง ตัวรับกระแสไฟฟ้า เกลือแกงที่บรรจุไว้ในกระป๋อง ทั้งสิ้นจำนวน 18 ชุด จึงตรวจยึดมาไว้เพื่อเป็นของกลาง ซึ่งในการสอบปากคำเบื้องตนทางเจ้าสำนักและแม่ชีแมวให้การรับสารภาพว่าร่วมกันกระทำการรักษาโรคด้วยวิธีดังกล่าวจริง เจ้าหน้าที่จึงตั้งข้อกล่าวหาว่า 1.มีความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พศ.2541 มาตรา 16 ห้ามมิให้บุคคลใดประกอบกิจการสถานพยาบาล เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาต มาตรา 24 ห้ามมิให้บุคคลใดดำเนินกิจการสถานพยาบาล เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาต มาตรา 57 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 16 หรือมาตรา 24 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งปรับทั้งจำ
2.มีความผิดตามพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พศ.2525 มาตรา 16 ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบวิชาชีพเวชกรรม โดยไม่ได้รับเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งปรับทั้งจำ 3.มีความผิดตามพระราบบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พศ.2551 มาตรา 46 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิตเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ มาตรา 56 ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องมือแพทย์ตามมาตรา 46 มาตรา 108 ผู้ใดผลิตหรือนำเข้าเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ปลอดภัยในการใช้อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 46 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งปรับทั้งจำ
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งการให้ยุติการรักษาทันที พร้อมทั้งตรวจยึดอุปกรณ์มาเป็นของกลาง และจะทำการสอบปากคำเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อยืนยันว่าเป็นการรักษาที่ผิดกฎหมาย และจะต้องนำตัวผู้ถูกกล่าวมามาสอบปากคำเพื่อขยายผลและหาตัวผู้เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบว่ามีความผิดตามที่มีผู้แจ้งกล่าวโทษไว้หรือไม่ จึงจะเรียกตัวกลับมารับทราบข้อกล่าวหาอีกครั้ง
ด้านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด กล่าวว่า การกระทำแบบนี้อาจเกิดอันตรายร้ายแรงต่อประชาชนได้ ในกรณีหากเกิดกระแสไฟฟ้ารั่ว หรือปรับกระแสไฟฟ้าให้สูงขึ้นโดยแรงเกินไป อาจทำให้ถึงแก่เสียชีวิตได้ทันที เป็นการหลอกลวงประชาชนให้เกิดการเข้าใจผิดในการดูแลรักษาสุขภาพ และเสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้อง และการกระทำนี้กระทำกันอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน มีบุคคลมาใช้บริการจำนวนมาก อยากขอฝากเตือนพี่น้องประชาชนว่าขออย่างมงาย ขอให้ใช้เหตุผลในการพิจารณาก่อนที่จะทำการรักษาเพราะมีแต่อันตรายต่อสุขภาพ รวมทั้งขอให้ช่วยกันเผยแพร่บอกต่อกันไปด้วยว่าวิธีการรักษาแบบนี้ไม่ใช่วิธีการที่ดีและถูกต้อง