ร้องศูนย์ดำรงธรรม พระข่มขืนเด็กวัย 14 ปี

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2558 นางเพ็ญ(นามสมมติ) อายุ45ปี ชาวจังหวัดอุบลราชธานี พาบุตรสาวชื่อ ด.ญ.อร (นามสมมติ) อายุ14ปี เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมกับผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ผ่านศูนย์ดำรงธรรม กรณีลูกสาวถูกพระบัญชา ประสานพิมพ์ อายุ35ปี ลวงข่มขืนในกุฏิวัดบ้านแขมใต้ จ.อุบลราชธานี

นางเพ็ญ เล่าว่า เหตุเกิดเมื่อช่วงเย็นวันที่17ตุลาคม 2557 ได้พาบุตรสาวไปพบพระบัญชา ประสานพิมพ์ ที่วัดบ้านแขมใต้ เพื่อให้รักษาอาการเจ็บป่วยของเด็กหญิงอร เนื่องจากพระบัญชา บอกว่าลูกสาวมีเหมือนผีปอบเข้าและชะตาขาด หากไม่มาทำพิธีสืบชะตาและไล่ผีปอบออก จะทำให้เลือดตกยางออกถึงแก่ความตาย ที่ผ่านมาชาวบ้านเชื่อว่าพระบัญชามีความเชี่ยวชาญทางไสยศาสตร์ สามารถรักษาอาการได้ จึงพาบุตรสาวไปพบพระบัญชา ที่กุฏิ ซึ่งอยู่ทิศเหนือของวัดแขมใต้ เมื่อไปถึงในกุฏิพระบัญชาบอกว่าแม่ต้องไปรออยู่ข้างนอก แล้วจะเริ่มทำพิธีรักษาให้บุตรสาวจึงจะเกิดความขลัง จึงหลงเชื่อได้เดินออกมาจากกุฏิพระบัญชาลงมารออยู่ใต้ต้นไม้ ห่างจากกุฏิประมาณ100เมตร รออยู่ประมาณ2ชั่วโมงบุตรสาวจึงได้ออกมาจากกุฏิ แล้วพากันกลับบ้าน

หลังจากที่กลับมาบ้านบุตรสาวมีอาการซึมเศร้า ไม่พูดไม่จากับใคร เอาแต่ร้องไห้จึงเค้นถามความจริงจนทราบว่าช่วงเวลาที่อยู่กับพระบัญชาในกุฏิ พระบัญชาได้ถอดเสื้อยืดและกางเกงวอร์มออก และใช้กำลังบังคับ ทำอนาจารข่มขืนจนสำเร็จความใคร่1ครั้งซึ่งการกระทำของพระบัญชา ทำให้ลูกสาวเสียหาย จึงได้เดินทางมาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.พิบูลมังสาหารเพื่อให้ดำเนินคดี จากนั้น พ.ต.ท.ยุทธนา ไตรทิพย์ สวป.สภ.พิบูลมังสาหาร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสายสืบ สภ.พิบูลมังสาหาร ได้นำหมายศาลจังหวัดอุบลราชธานีที่337/2557เข้าจับกุมพระบัญชา ที่หนีมาหลบซ่อนตัวอยู่ที่วัดอ่างหินน้อย ต.บ้านแขม อ.พิบูลมังสาหาร พร้อมควบคุมตัวไปทำการสึก นำตัวมาดำเนินคดีในข้อหากระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน15ปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ และกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน15ปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนขณะเดียวกันพระบัญชา ประสานพิมพ์ หรือนายบัญชา ยังคงให้การปฏิเสธนางเพ็ญ กล่าว

นางเพ็ญ กล่าวว่า จากนั้นเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2558 พนักงานอัยการจังหวัดอุบลราชธานีได้ยื่นฟ้องพระบัญชา วันที่ 25 มิถุนายน 2558 ศาลมีคำพิพากษาจำคุก 8 ปี ให้ชำระเงิน 5,005,000 บาท แต่พระบัญชา นำหลักทรัพย์ประกันตัวขอสู้คดีในชั้นศาลอุทธรณ์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถูกสังคมต่อว่า ว่าเป็นการใส่ร้ายพระสงฆ์ ทั้งที่มีหลักฐานการพิสูจน์ร่างกายและศาลได้ตัดสินคดีแล้ว แต่ยังเห็นพระบัญชา บวชเป็นพระต่อไปได้ จึงอยากวิงวอนผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยดำเนินการให้พระบัญชาได้สึกออกมา หากจะต่อสู้คดีก็ให้มาเป็นสามัญชนธรรมดาทั่วไป หากยังอยู่ในผ้าเหลืองทั้งที่มีคดีติดตัวอาจทำให้เสื่อมเสียถึงพระพุทธศาสนาได้

ด้านพระครูกิตติวิบูลธรรม เจ้าคณะตำบลบ้านแขม อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า กระบวนการศาลยังไม่สิ้นสุดและจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์หลังให้การปฏิเสธในข้อกล่าวหา จึงไม่ควรสึกให้กับพระ อีกทั้งในคดีนี้กลุ่มผู้เสียหายต้องการกลั่นแกล้งโดยกล่าวหาว่าพระบัญชาเป็นผู้ข่มขืนซึ่งไม่เป็นความจริง แล้วมากล่าวหาว่าพระบัญชาเป็นผู้กระทำ ส่วนกรณีที่เจ้าหน้าที่จากสถานีตำรวจภูธรพิบูลมังสาหารได้ถอดผ้าเหลืองออกให้นั้น เป็นการทำเกินกว่าเหตุของตำรวจโดยใช้อำนาจบังคับ ซึ่งไม่ถือว่าพระบัญชา ขาดจากการเป็นพระจึงสามารถกลับมาใส่ผ้าเหลืองและปฏิบัติกิจของสงฆ์ต่อไปได้