ต่อมาเมื่อเวลา 13.00 น. น.ส.ธัญยธรณ์เดินทางมาที่สน.มักกะสันโดยเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ห้องดังกล่าวพ่อซื้อไว้ให้ประมาณ 2 ปี วันเกิดเหตุกลับมาที่ห้องตอน 17.00 น. และอยู่ในห้องตลอดเวลา ปกติก็จะล็อกประตูห้องไว้ แต่วันเกิดเหตุไม่แน่ใจว่าล็อกประตูหรือไม่ โดยช่วงประมาณตี 5 ได้ยินเสียงเหมือนคนย่องเข้ามาจึงเปิดโคมไฟข้างเตียง เห็นประตูห้องนอนแง้มไว้ จึงเดินไปปิดประตู ก็เห็นคนร้ายหลบมุดซ่อนตัวในราวเสื้อผ้า จึงร้องออกมาเสียงดัง เห็นว่าคนร้ายสวมเสื้อรปภ.มีตราอยู่ที่แขน จากนั้นจึงวิ่งไปกระชากโคมไฟถือไว้เป็นอาวุธป้องกันตัว ทำให้ไฟในห้องดับมืด กะจะฟาดคนร้ายที่ประตู แต่พบว่าคนร้ายไม่อยู่แล้ว จึงเปิดประตูห้องออกไปที่ทางเดินร้องให้คนช่วย วิ่งลงมาข้างล่าง แต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากรปภ.คนอื่น ๆ แต่เห็นคนร้ายเหงื่อแตกท่าทางพิรุธ จนไปขอดูกล้องวงจรปิดจึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
เหตุการณ์นี้ไม่แน่ใจว่ารปภ.คนอื่น ๆ ร่วมรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ ปกติ รปภ.จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นชั้นบน และห้องของฉันต้องใช้กุญแจไขเข้าห้อง ส่วนคีย์การ์ดใช้สำหรับขึ้นลิฟต์ โดยผู้อยู่อาศัยจะขึ้นชั้นที่เป็นลานจอดรถกับห้องของตัวเองเท่านั้น แต่การให้ปากคำของเขาขัดกับเหตุการณ์จริง เพราะเขาเข้าไปในห้องเกือบ 15 นาทีและอ้างว่าจำห้องผิด พูดจาวกวน ก่อนหน้านี้เดือนก่อน เงินสดของฉันเคยหายในห้องเกือบ 8,000 บาท และห้องข้างล่างซึ่งอยู่จุดเดียวกับฉันก็เคยเงินหายไป 9,000 บาทเช่นกัน แต่ตอนนั้นคิดว่าคนในห้องขโมยไป ตอนนี้ต้องไปนอนบ้านเพื่อนเพราะยังตื่นตระหนกตกใจอยู่ น.ส.ธัญยธรณ์ กล่าวอย่างหวาดผวา
ต่อมาทางน.ส.ธัญยภรณ์เข้าพบพนักงานสอบสวนแล้วพบกับนายณัฐวุฒิซึ่งได้ยกมือไหว้ขอโทษไม่ได้มีเจตนาจะเข้าไปก่อเหตุ ทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิด ทางน.ส.ธัญยภรณ์มีท่าทางหวาดกลัวอยู่และได้เดินทางกลับไปทันทีโดยไม่ได้ให้อภัยแต่อย่างใด ส่วนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องดำเนินคดีกับนายณัฐวุฒิตามกฎหมายต่อไป