ผู้เสียหายซึ่งเป็นข้าราชการทหาร ระดับสูง หนึ่งในผู้เสียหาย (ขอปิดชื่อและนามสกุล) เปิดเผยว่า ตนเป็นนายทหารภายในค่ายทหารแห่งหนึ่งในจ.อยุธยา โดยเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีกลุ่มจากบริษัทยูฟันเข้ามาในค่ายซึ่งตนสังกัดอยู่ มีวิทยากรบรรยายชักชวนให้เข้าเป็นสมาชิก โดยผู้บังคับบัญชาของตน ซึ่งเป็นระดับ พ.อ.พิเศษ ก็ร่วมลงทุนด้วย พวกตนจึงค่อนข้างไว้ใจ เนื่องจากเห็นว่าผู้บังคับบัญชายังสมัคร ตนจึงตัดสินใจสมัครด้วย โดยเสียเงินค่าสมัคร จำนวน 105,000 บาท ซึ่งวิทยากรอ้างว่าแพ็กเกจที่ตนสมัครนั้นเพียงแค่อยู่เฉยๆ ก็จะได้เงินปันผลจากค่ายูโทเคนที่เพิ่มขึ้น แต่เมื่อกลับบ้านจึงเปิดอินเตอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูล พบเว็บไซต์ ต่อต้านแชร์ลูกโซ่ ตนจึงเขัาไปอ่านพบว่ามีการพูดถึงบริษัทดังกล่าว รวมทั้งวิธีการหลอกลวงเหมือนกับที่วิทยากรชักชวนพวกตนมาลงทุน จึงคิดว่าน่าจะถูกหลอก ตนจึงพยายามทวงถามไปยังบริษัท แต่กลับไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน ประกอบกับเมื่อไม่นานมานี้ตนเห็นข่าวการจับกุมผู้ต้องหาซึ่งเป็นผู้บริหารและผู้ถือหุ้นในบริษัทยูฟัน จึงตัดสินใจชวนเพื่อนมาแจ้งความ
ผมยอมรับว่าที่สมัครนั้นเพราะคิดแค่ว่าลงเงินไป รอให้ราคาค่ายูโทเคนเพิ่มก็จะได้กำไร อีกทั้งเห็นผู้ใหญ่ลงทุนด้วยคงไม่มีปัญหาอะไร นอกจากนี้เชื่อว่ามีนายทหารอีกหลายรายที่ตกเป็นเหยื่อ แต่ไม่กล้ามาแจ้งความเพราะกลัวเสียหายและเสียชื่อเสียง นายทหารซึ่งตกเป็นผู้เสียหาย กล่าว
ด้านผู้เสียหาย (ขอสงวนชื่อและนามสกุล) กล่าวว่า เดิมตนทำธุรกิจขายตรง และเห็นว่าการลงทุนกับบริษัทยูฟันฯ ได้รับเงินดี จึงมาลงทุนกับบริษัทยูฟันฯ ตั้งแต่พฤษภาคม พ.ศ. 2557 เป็นเงินจำนวน 210,000 บาท กระทั่งทราบว่าบริษัทยูฟันฯ มีลักษณะธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมาตนพยายามขายยูโทเคน แต่ขายไม่ได้ จากนั้นได้สอบถามเพื่อนชาวมาเลเชีย เพราะทราบว่าสำนักงานใหญ่บริษัทยูฟันฯ ตั้งอยู่ที่นั่น จึงทำให้ทราบว่าบริษัทยูฟันฯ ที่มาเลเซียถูกธนาคารแห่งชาติมาเลเชีย ประกาศเตือนประชาชนเมื่อ 1 ปี ที่ผ่านมา ว่า หากใครลงทุนในบริษัทยูฟัน ทางธนาคารแห่งชาติมาเลเชีย จะไม่รับผิดชอบความเสียหาย เนื่องจากพบว่ามีการหลอกลวง ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยูฟันฯ ที่อ้างว่ามีการเปิดบริการกว่า 80 ประเทศ ตนจึงตัดสินใจเดินทางเข้าแจ้งความในครั้งนี้
พล.ต.ท.สุวิระ กล่าวว่า จากการสอบปากคำผู้เสียหาย และตรวจสอบพบว่าทางบริษัทยูฟันนำข้อมูลจากค่ายทหารไปเผยแพร่ โดยระบุว่าบริษัทมีความน่าเชื่อถือมาก เนื่องจากมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับผู้บังคับบัญชาลงทุนในบริษัทด้วย ทำให้มีผู้เชื่อถือและเข้ามาสมัครจำนวนมาก และจากแนวทางการสืบสวนทราบว่า นายอาทิตย์ ปานแก้ว ผู้บริหารในบริษัทยูฟัน พร้อบเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดี ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนนั้น พบว่าแท้จริงแล้วชื่อจริง คือนายจางเจี้ยน ชาวจีน และประกอบธุรกิจลักษณะคล้ายแชร์ลูกโซ่ กระทั่งมีหมายจับจากทางการจีนในข้อหาฉ้อโกง จึงหลบหนีไปพำนักอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย โดยเปลี่ยนชื่อเป็น นายแจ็กกี้ และร่วมหุ้นกับเพื่อนเปิดบริษัทที่มีลักษณะเป็นแชร์ลูกโซ่ กระทั่งถูกทางการมาเลเซียออกหมายจับในข้อหาฉ้อโกงเช่นกัน ก่อนจะหลบหนีเข้ามายังประเทศไทย เมื่อปี 2552 และมีภรรยาเป็นคนไทย พร้อมศัลยกรรมเปลี่ยนหน้าตาและชื่อ เป็นนายอาทิตย์ ปานแก้ว ในที่สุด โดยขณะนี้ได้ประสานข้อมูลกับตำรวจมาเลเซียเพื่อตรวจสอบความแน่ชัดแล้ว
ขณะที่พ.ต.อ.อังกูร กล่าวเสริมว่า ภาพตามหมายจับของนายจาง เจี้ยน นายแจ็กกี้ และนายอาทิตย์ จะมีหน้าตาไม่เหมือนกัน เพราะผ่านการทำศัลยกรรม ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบให้แน่ชัด เพื่อระบุว่าบุคคลทั้ง 3 เป็นคนคนเดียวกันจริงๆ อย่างไรก็ตาม ปคบ. มีการเปิดศูนย์เฉพาะกิจ รับร้องทุกข์เกี่ยวกับบบริษัทยูฟันฯ มีการเตรียมพนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรองรับการมาแจ้งความครั้งนี้ นอกจากนี้สามารถโทรแจ้งความเบื้องต้นมายัง สายด่วน1599 ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของ ตร.ได้ 24 ชม. ซึ่งในเบื้องต้นมีประชาชนมาแจ้งความแล้ว กว่า 90 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 35 ล้านบาท
พ.ต.อ.อังกูร กล่าวด้วยว่า ประชาชนควรเร่งมาแจ้งความ ไม่ต้องห่วงว่าจะเป็นผู้ต้องหา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ดูเจตนาเป็นหลัก หากไม่มีเจตนาในการฉ้อโกงเงินของผู้อื่น ก็ไม่มีทางโดนตั้งข้อหาแน่นอน เพียงแต่ถูกกันเป็นผู้เสียหายและพยานเท่านั้น ส่วนการติดตามผู้บริหารบริษัทยูฟันฯที่ยังหลบหนีอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้ประสานกับทางการประเทศมาเลเซียแล้ว ซึ่งขึ้นอยู่ว่าทางการมาเลเซีย จะดำเนินการตามที่ร้องขอหรือไม่ เพราะไม่สามารถกดดันได้ แต่หากผู้บริษัทยูฟันต้องการเข้ามอบตัว เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เจ้าหน้าที่มีความยินดี และจะอำนายความสะดวกเต็มที่
