กองปราบลุยภาค 7 ล่าฆาตกรข่มขืนต่อเนื่อง

บ่ายวันที่ 23 ม.ค. พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รรท.ผบช.ก.พร้อมด้วย พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป. พ.ต.อ.ประเสริฐ พัฒนาดี พ.ต.อ.อิทิพล อฉิริยะประดิษฐ์ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.ภุมรินทร์ พุ่มพันธ์ม่วง ผกก.5 บก.ป.ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่กองปราบ ร่วมประชุมกับ พล.ต.ต.สุทธิพงษ์ วงศ์ปิ่น รอง ผบช.ภ.7 พ.ต.อ.นภัณวุฒิ เลี่ยมสงวน ผกก.ฝอ.บก.สพ. และบก.สส.บช.ภ.7 และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม เพื่อวางแนวทางสืบสวนหาตัวผู้ต้องหาฆ่าข่มขืนต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2553-2557

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2557 ได้เกิดเหตุคนร้ายบุกเข้าไปข่มขืนหญิงอายุ 39 ปี ช่วงเวลา 01.30 น.ในท้องที่ สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวมีกันอยู่ 2 คน คือผู้เสียหายและมารดาอายุประมาณ 70ปี โดยคนร้ายได้ปีนรั้วแล้วพังประตูบ้านเข้าไปที่ชั้นบน เพื่อจะหามารดาของผู้เสียหายซึ่งนอนอยู่ที่ชั้นบนเพียงคนเดียว แต่จังหวะนั้นลูกสาวได้มาเห็นเข้า คนร้ายจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาทำร้ายผู้เสียหายแล้วลงมือข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ ก่อนจะหลบหนีไป

หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พุทธมณฑล และกก.สส.บช.ภ.7 ได้ร่วมตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมกับนำผู้เสียหายไปตรวจร่างกายเก็บดีเอ็นเอ และพยานหลักฐานต่างๆ พร้อมสอบปากคำผ้เสียหายถึงรายละเอียดรูปพรรณต่างๆ ของคนร้าย เบื้องต้น พบว่าคนร้ายรูปร่างสูงประมาณ 170 ซม.ร่างกายบึกบึนมีกล้ามเนื้อหน้าท้อง ได้ลงมือข่มขืนใช้เวลาประมาณ 1 นาทีจนสำเร็จความใคร่ ก่อนจะหลบหนีไป โดยก่อนหลบหนีได้ใช้กุญแจสายยูคล้องไว้ที่ประตูเพื่อกันผู้เสียหายตามออกมา นอกจากนั้นจากการตรวจสอบผลของดีเอ็นเอจากสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ พบว่าดีเอ็นเอที่พบตรงกับคนร้ายที่เคยลงมือก่อเหตุหญิงชรามาอย่างต่อเนื่องถึง 8 คดีด้วยกัน ซึ่งมีผู้เสียหาย 2 ใน 8 รายถูกคนร้ายข่มขืนและทำร้ายจนเสียชีวิต

โดยเหตุดังกล่าวเริ่มจากเมื่อวันที่ 26 ก.ย.2553 เหตุเกิดช่วงเวลา 23.00 น. คนร้ายได้บุกเข้าไปข่มขืนหญิงชราวัย 70 ปี ที่อยู่บ้านคนเดียว ท้องที่ สภ.บ้านแพ้ว จ.นครปฐม คดีที่สองเมื่อวันที่ 10 พ.ย.2553 เวลา 02.00 น.ท้องที่ สภ.นครชัยศรี จ.นครปฐม บุกเข้าไปข่มขืนหญิงชราวัย 71 ปี คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2555 เวลา 01.00 น.ท้องที่ สภ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม คนร้ายได้ฆ่าข่มขืนหญิงชราอายุ 61 ปี ที่อยู่บ้านเพียงคนเดียวเสียชีวิตคาบ้านพักที่ ต.บางยี่รงค์ อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม คดีที่ 4 วันที่ 8 ธ.ค.2555 เวลา 03.00 น.ท้องที่ สภ.บางคนที ครั้งนี้คนร้ายได้ข่มขืนหญิงชราอายุ 70 ปี ในบ้านกลางสวนผลไม้ในตำบลเดียวกัน ครั้งที่ 5 วันที่ 6 ธ.ค.2555เวลา 03.00 น.ท้องที่ สภ.บางคนที คนร้ายบุกเข้าไปข่มขืนสาวใหญ่วัย 59 ปี

ครั้งที่ 6 วันที่ 16 ธ.ค.2555 เวลา 03.40 น.ท้องที่ สภ.บางคนที คนร้ายบุกเข้าไปข่มขืนสาวใหญ่วัย 47 ปี ครั้งที่ 7 วันที่ 23 มี.ค.2556 เวลา 23.00 น.คนร้ายบุกเข้าไปข่มขืนหญิงชราวัย 75 ปี เหตุเกิดท้องที่ สภ.สามพราน จ.นครปฐม ครั้งที่ 8 วันที่ 11 มิ.ย.2556 เวลา 00.30 น.ท้องที่ สภ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม คนร้ายบุกเข้าไปข่มขืนแล้วฆ่าหญิงชราวัย 78 ปี และครั้งสุดท้ายคือวันที่ 22.ธ.ค.2557 คนร้าสยบุกเข้าไปข่มขืนสาวใหญ่วัย 39 ปี ที่อยู่กับแม่วัย 70 กว่าปี
โดยหลังการประชุม พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รรท.ผบช.ก.พร้อมด้วยพ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป.และคณะได้ไปตรวจจุดที่เกิดเหตุที่คนร้ายได้ลงมือข่มขืนแล้วฆ่าหญิงชราวัย 61 ปี พร้อมกับตรวจจุดใกล้เคียงที่คนร้ายได้เข้าไปข่มขืนผู้เสียหายอีกราย พร้อมกับตรวจสอบสภาพแวดล้อมทั้งในคลองและทางบก เพื่อหาความเป็นไปได้ว่าคนร้ายสามารถใช้เส้นทางไหนมาได้ ก่อนให้เจ้าหน้าที่ไปเดินดูโดยรอบบริเวณเพื่อหาจุดเชื่อมโยง
พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวว่า พล.ต.ต.ฐิติราช ได้เรียกประชุมคณะทำงานของกองปราบปรามร่วมกับ กก.สส.บช.ภ.7 และท้องที่ สภ.บางคนที เพื่อประชุมแนวทางการสืบสวนในคดีฆ่าข่มขืนต่อเนื่อง ทั้งนี้ที่ผ่านมาทางชุด กก.สส.บช.ภ.7 ได้ทำงานสืบสวนมาเป็นอย่างดีแล้ว ทางกองปราบปรามสามารถทำงานต่อได้เลย โดยขณะนี้ได้แบ่งชุดโดยให้ กก.5.บก.ป.ส่งชุดทำงานลงพื้นที่เพื่อหาหลักฐานพยานต่างๆ เพิ่มเติม รวมทั้งให้ทุกกองกำกับการในสังกัดกองปราบปราม ช่วยกันทำในคดีนี้ สำหรับการตรวจจุดที่เกิดเหตุอีกครั้งและการประชุมร่วมกันในวันนี้ ทำให้พบหลักฐานหลายอย่างที่เจ้าหน้าที่สามารถเดินต่อได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีฆ่าข่มขืนต่อเนื่อง หลังจากที่เหตุเกิดครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2556 ซึ่งคนร้ายได้ลงมือข่มขืนแล้วฆ่าหญิงชราวัย 78 ปี ท้องที่ สภ.พุทธมณฑล แล้วเรื่องได้เงียบหายไป จนเจ้าหน้าที่คิดว่าคนร้ายน่าจะหลบหนีออกนอกพื้นที่ไปแล้ว แต่แล้วเมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2557 คนร้ายได้กลับมาก่อเหตุอีกครั้ง โดยครั้งนี้เมื่อวิเคราะห์ดูพฤติกรรมแล้ว พบว่าคนร้ายต้องการบุกเข้าไปข่มขืนมารดาของผู้เสียหายซึ่งอายุประมาณ 70 ปี ที่อยู่บนชั้น 2 ของบ้าน ก่อนที่ลูกสาวจะมาพบคนร้ายเข้าเลยถูกข่มขืนแทน ซึ่งจากการตรวจสอบดีเอ็นเอทุกคดีแล้ว พบว่าเป็นคนร้ายรายเดียวกันทั้ง 9 คดี นอกจากนั้น ผู้เสียหายหลายรายที่ถูกคนร้ายข่มขืนต่างไม่กล้าอยู่ในพื้นที่อีก ต้องหนีออกไปอยู่จังหวัดอื่น เนื่องจากกลัวว่าคนร้ายจะกลับมาอีก รวมทั้งสร้างความหวาดผวากับบรรดาหญิงชราในท้องที่ที่เกิดเหตุเป็นอย่างมาก