svasdssvasds
เนชั่นทีวี

อาชญากรรม

ศาลอ่านคำพิพากษาประหารชีวิต "วันชัย" ฆ่าข่มขืนน้องแก้ม

01 ตุลาคม 2557
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

วันที่ 30 ก.ย.2557 เวลาประมาณ 10.00 น.ที่ศาลจังหวัดหัวหิน มีผู้สื่อข่าวหลายสำนักมาปักหลักรอทำข่าวกันเป็นจำนวนมาก รวมทั้ง ปุ๋ม ปนัดดา วงษ์ผู้ดี อดีตนางสาวไทย ที่เป็นแกนนำในการให้ออกกฎหมายคดีข่มขืนต้องประหารชีวิต และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานอัยการสูงสุดได้เดินทางมาร่วมรับฟังคำพิพากษา รวมทั้งให้กำลังใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต โดยในวันนี้ศาลจังหวัดหัวหินใช้ห้องเวรชีในการอ่านคำพิพากษา

ทั้งนางลักขณา ทองพัฒน์ อายุ 48 ปี(มารดาน้องแก้ม) และนายพัฒน์ชัย ธานินทร์พงศ์ อายุ 35 ปี พี่ชาย ตลอดจนญาติพี่น้องฯลฯ ได้เดินทางมาศาลจังหวัดหัวหินประมาณ 12 คน ทั้งหมดใส่เสื้อยืดสีขาว และสีดำ ที่สกรีนคำว่า 1 คนตาย 1ล้านชีวิตตื่น โดยทางพี่ชายของผู้เสียชีวิต ได้กล่าวว่ากับผู้สื่อข่าวว่า แม้ว่าคดีนี้จะผ่านไปกว่า 2 เดือน แต่มารดาก็ยังทำใจไม่ได้ ยังคงร้องให้ตลอดเวลา จนต้องหันหน้าพึ่งธรรมะ และขณะนี้มารดาน้ำหนักลดลงไปกว่า 8 กิโลกรัม โดยทุกอย่างก็อยู่ในดุลพินิจของศาล ขอให้ความยุติธรรมกับครอบครัวด้วย โดยขณะที่อ่านคำพิพากษามารดาน้องแก้ม ได้ร้องไห้ตลอดเวลา ซึ่งมีทั้งญาติๆและผู้สื่อข่าวรวมประมาณ 50 คนเข้ารับฟังการอ่านคำพิพากษา
ซึ่งผู้พิพากษาได้อ่านคำพิพากษาเมื่อเวลา 10.20 น.และจบอ่านคำพิพากษาเมื่อเวลา 11.40น. คดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๔๐๗/๒๕๕๗ ระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดหัวหิน โจทก์ นางลักขณา ทองพัฒน์ โจทก์ร่วม 
นายวันชัย หรือเกมส์ แสงขาว จำเลยที่ ๑ นายณัฐกรณ์ หรือหนึ่ง ชำนาญ จำเลยที่ ๒ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เวลากลางวัน ถึงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗ เวลากลางคืนก่อนเที่ยงต่อเนื่องกัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยที่ ๑ เสพเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท ๑ กระทำชำเราเด็กหญิงกชกร หรือน้องแก้ม พิทักษ์จำนง อายุยังไม่เกินสิบห้าปี ต่อจากนั้นจำเลยที่ ๑ ฆ่าเด็กหญิงกชกรเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนในยวดยานสาธารณะ จำเลยที่ ๒ สนับสนุนให้จำเลยที่ ๑ กระทำชำเราเด็กอายุ ยังไม่เกินสิบห้าปี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖, ๙๑, ๑๙๙ , ๒๗๗ , ๒๘๘, ๒๘๙, ๓๓๕ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๗, ๘, ๕๗, ๙๑ จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ ๒ ให้การปฏิเสธ 
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า แม้โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นการกระทำความผิดของจำเลยที่ ๑ แต่โจทก์และโจทก์ร่วมมีพยานบุคคล และวัตถุพยานที่ตรวจพบหลังเกิดเหตุประกอบกันเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมที่หนักแน่น มั่นคง นับตั้งแต่การตรวจยึดแท็ปเลตและโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ถูกลักไปขณะอยู่ในความครอบครองของผู้ตายจากนายภานุพงศ์ ต้นโพธิ์โต และนายนิรุตติ์ พุ่มเจริญ โดยนายภานุพงศ์ให้การในชั้นสอบสวนยืนยันว่าจำเลยที่ ๑ นำแท็ปเลตมาฝากขาย และนายนิรุตติ์เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ ๑ นำโทรศัพท์เคลื่อนที่มาขาย ทั้งยังตรวจพบลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยที่ ๑ ที่ด้านในกระจกหน้าต่างบริเวณที่นั่งของผู้ตาย ตรวจพบสารพันธุกรรมของจำเลยที่ ๑ ที่กางเกงขาสั้นของผู้ตาย และสารพันธุกรรมของผู้ตายที่กางเกงชั้นในและเสื้อคลุมของจำเลยที่ ๑ กับตรวจพบร่องรอยการกระทำชำเราที่อวัยวะเพศและทวารหนักของผู้ตาย ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นความผิดตามฟ้อง 
ปัญหาว่ามีเหตุบรรเทาโทษหรือไม่ จำเลยที่ ๑ นำสืบว่า จำเลยที่ ๑ รับสารภาพเพราะสำนึกผิดและรับสารภาพกับเจ้าพนักงานตำรวจก่อนเจ้าพนักงานพบหลักฐานเกี่ยวกับโทรศัพท์ เคลื่อนที่ซึ่งอยู่ในครอบครองของผู้ตายนั้น เห็นว่า จำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธต่อเจ้าพนักงานตำรวจตั้งแต่ต้นว่าไม่เกี่ยวข้องกับการหายตัวและการตายของผู้ตาย ข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ ๑ เบิกความขัดแย้งกับคำเบิกความของ พันตำรวจโทสาโรจน์ จอกโคกสูง สารวัตรสืบสวนกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี ประกอบได้ความเพิ่มเติมว่า เดิมจำเลยที่ ๑ ให้ถ้อยคำว่าโยน แท็ปเล็ต ทิ้งเมื่อขบวนรถเร็วที่ ๑๗๔ แล่นผ่านสถานีนครปฐมซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยที่ ๑ นำไปฝากนายภานุพงค์เพื่อนของจำเลย เมื่อนายภานุพงค์ นำ แท็ปเล็ต ไปมอบต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจรถไฟนพวงศ์ จำเลยที่ ๑ จึงให้การรับสารภาพเพิ่มเติม
ในประเด็นนี้ เป็นพฤติการณ์ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพโดยจำนนต่อพยานหลักฐานหาใช่รับสารภาพเพราะสำนึกผิดไม่ ทั้งพยานวัตถุที่พบและได้มาเป็นหลักฐานเกิดจากการค้นหาของเจ้าพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย และจากการสืบสวนแสวงหาพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานตำรวจ ส่วนการค้นหาศพผู้ตายก็เกิดจากความร่วมมือของเจ้าหน้าที่มูลนิธิสว่างแผ่ไพศาลธรรมสถานกับญาติของผู้ตาย โดยเฉพาะญาติผู้ตายดำเนินการติดตามค้นหาตั้งแต่ต้นตลอดมา ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งเป็นพยานบุคคล พยานวัตถุและพยานแวดล้อมโดยอาศัยคำรับสารภาพของจำเลยที่ ๑ แต่อย่างใด 
ประกอบกับชั้นพิจารณาจำเลยที่ ๑ เบิกความว่าจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดเพียงคนเดียว จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ช่วยเหลือจำเลยที่ ๑ ทำให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ ๑ ว่าไม่ประสงค์ให้จำเลยที่ ๒ ต้องรับโทษด้วย คำรับสารภาพของจำเลยที่ ๑ ในชั้นสอบสวน ชั้นพิจารณาและทางนำสืบของจำเลยที่ ๑ ในกรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา จึงไม่มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ จำเลยที่ ๑ ถือโอกาสที่ตนเองมีหน้าที่ช่วยเหลือดูแลอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร อาศัยโอกาสขณะปฏิบัติงานบนขบวนรถไฟข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้ตายซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีที่นอนหลับอยู่ ขณะที่มีผู้โดยสารอื่นๆและญาติผู้ตายนอนหลับอยู่ใกล้ๆ จากนั้นโยนศพผู้ตายออกจากหน้าต่างขบวนรถเพื่อปกปิดการตาย ลักษณะของการกระทำความผิดจึงเป็นไปโดยอุกอาจไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง สมควรลงโทษในสถานหนัก 
ในส่วนจำเลยที่ ๒ ได้ความตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า ระหว่างรถไฟแล่นจากสถานีรถไฟประจวบคีรีขันธ์จนถึงสถานีวังก์พง มีข้อบ่งชี้ว่าจำเลยที่ ๒ อยู่ใกล้ชิดเหตุการณ์มากที่สุด ประกอบกับชั้นสอบสวนจำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพ โดยมีรายละเอียดต่างๆ ยากที่ผู้ใดจะรู้รายละเอียดดังกล่าวนอกจากตัวจำเลยที่ ๒ และยากที่พนักงานสอบสวนจะแต่งขึ้นเองได้ พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีน้ำหนักให้รับฟังว่า การกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นความผิดตามฟ้อง
พิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๙๙ , ๒๗๗ วรรคหนี่ง, ๓๓๕ ( ๑ ) ( ๙) วรรคสอง , ๒๘๙ (๗ ) พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗ , ๙๑ จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๘๖ การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ให้ประหารชีวิต ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี จำคุก ๙ ปี ฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนในยวดยานสาธารณะ จำคุก ๕ ปี ฐานซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย จำคุก ๑ ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก ๖ เดือน จำเลยที่ ๑ รับสารภาพโดยจำนนต่อหลักฐาน ไม่มีเหตุบรรเทาโทษ จึงไม่ลดโทษให้แก่จำเลยที่ ๑ รวมโทษทุกกระทง คงให้ประหารชีวิตจำเลยที่ ๑ สถานเดียว จำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๖ ปี จำเลยที่ ๒ ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ ๒ หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๔ ปี

logoline