svasdssvasds
เนชั่นทีวี

ข่าว

กล้วยหอม "คาเวนดิช" มาแรง ทางใหม่เกษตรกรไทย

25 สิงหาคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

หลังจากที่จีนมีกรณีพิพาทหมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้กับฟิลิปปิน ทำให้จีนงดนำเข้ากล้วยหอมเขียว "คาเวนดิช" จากฟิลิปปินส์ แหล่งปลูกกล้วยหอมคาเวดิชรายใหญ่อันดับสองของโลกรองจากประเทศเอกวาดอร์ ส่งผลให้กล้วยหอมคาเวนดิช ขาดตลาดในประเทศจีนอย่างหนัก

ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งไปลงทุนปลูกในเขตมณฑลยูนาน โดยเฉพาะในสิบสองปันนา อีกส่วนเข้าไปเช่าพื้นที่ปลูกในประเทศ สปป.ลาว เพื่อส่งกลับไปยังประเทศจีนทั้งหมด
เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาล สปป.ลาว มองว่าการปลูกกลว้ยหอมคาเวนดิช คุกคามต่อความมั่นคงด้านของประชาชนชาวลาว จึงประกาศไม่ส่งเสริมให้มีการปลูกกล้วยหอมคาเวนดิช เพื่อนำพื้นที่ปลูกพืชที่เป็นอาหารหลักคือข้าว ทำให้นักธุรกิจจีนเบนทิศทางการปลูกกล้วยหอมคาเวนดิช มายังประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือมีมากที่สุดที่ จ.เชียงราย

กล้วยหอม "คาเวนดิช" มาแรง 
ทางใหม่เกษตรกรไทย


กระนั้นก็ปลูกได้ในจำนวนที่จำกัด เพราะติดเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกิน ทางหมาวิทยาลัยแม่โจ้ สบช่องมองว่า กล้วยหอมคาเวนดิช เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตสำหรับประเทศไทย เนื่องจากตลาดจีนยังรับไม่อั้น จึงจับมือพันธมิตรสร้างเครือข่าย มา ส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกกล้วยหอมคาเวนดิช พร้อมรับซื้อผลผลิตทั้งหมด เพื่อส่งออกไปยังประเทศจีน 
ล่าสุดได้มีการเตรียมที่จะศูนย์ส่งเสริมและวิจัยพัฒนากล้วยหอมคาเวนดิชเพื่อส่งออกเป็นแห่งแรกของประเทศไทย

กล้วยหอม "คาเวนดิช" มาแรง 
ทางใหม่เกษตรกรไทย


ดุจเดียวกับยักษ์ใหญ่ "เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) โดยมอบให้กลุ่มพืชครบวงจร จับมือกับยักษ์ใหญ่ในวงการผลิตและจำหน่ายกล้วยหอมคาเวนดิชระดับโลก "โดล เอเชีย จำกัด" หันส่งเสริมเกษตรกรไทยปลูกกล้วยหอมเขียว "คาเวนดิช" เป้าหมายแรก 6 หมื่นไร่ พร้อมจะรับซื้อผลผลิตทั้งหมดจากเกษตรกรในราคา กก.ละ 12 บาท
ดร.กอบลาภ อารีศรีสม รอง ผอ.ศูนย์กล้วยไม้และไม้ดอกไม้ประดับมหาวิทลัยแม่โจ้  ที่หันมาศึกษาเกียวกับกล้วยคาเวนดิช และสนับสนุนเกษตรกรให้ปลูกด้วย บอกว่า คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ไปดูงานด้านการที่ประเทศจีน และได้พบกับบริษัทนำเข้ากล้วยหอมคาเวนดิชรายใหญ่ของ บอกว่า อยากให้มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ส่งเสริมเกษตรกรปลูกกล้วยคาเวนดิช อย่างถูกวิธี 

กล้วยหอม "คาเวนดิช" มาแรง 
ทางใหม่เกษตรกรไทย


และทางบริษัทนำเข้าของจีนเพียงรายเดียว ยืนยันจะเป็นผู้รับซื้อได้อาทิตย์ละถึง 500 ตัน เขาจึงประสานงานกับกลุ่มเกษตรกรที่สนใจและส่งเสริมลูกไร่ให้ปลูกกล้วยคาเวนดิช ให้เป็นพันธมิตรในเครือข่าย เมื่อปีที่แล้วนี้เอง การส่งเสริมเกษตรกรตอนนี้ได้มาระดับหนึ่ง แต่ยังไม่เพียงพอกับความต้องของลูกค้า
"ตอนนี้กล้วยหอมคาเวนมาแรงมาก ผมประเมินว่า ต่อให้เกษตรกรปลูก 5 แสนไร่ก็ไม่พอ ขนาดบริษัทเดียวยังต้องการถึงอาทิตย์ละ 500 ตัน แต่ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายบริษัทที่ต้องการนำเข้าเช่นกัน ตรงนี้ผมมองว่าพืชชนิดนี้มีอนาคตแน่นอน เพราะกล้วยหอมคาเวนดิชมีผู้บริโภคมากที่สุดถึง 95% ทั่วโลก เมื่อเทียบกับกล้วยหอมอื่น" 

กล้วยหอม "คาเวนดิช" มาแรง 
ทางใหม่เกษตรกรไทย


จึงถือเป็นทางเลือกใหม่ให้กับเกษตรกรไทยด้วย ดร.กอบลาภ จึงตัดสินใจ จะตั้งศูนย์ส่งเสริมและพัฒนากล้วยหอมหอมคาเวนดิชเพื่อส่งออก โดยตรงถือเป็นแห่งแรกในประเทศไทยที่มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ด้าน ขุนศรี ทองย้อย ประธานผู้บริหาร ฝ่ายปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์เมล็ดพันธุ์ จำกัด บอกว่า ทาง ซีพี เป็นผู้นำด้านธุรกิจการเกษตรในภูมิภาคแล้ว และมีธุรกิจด้านการในประเทศจีนด้วย สถานการณ์ปัจจุบันจีนต้องการกล้วยหอมคาเวดิชเป็นจำนวนมาก 
จากเดิมจีนจะนำเข้าจากประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นผู้แหล่งปลูกรายใหญ่ที่ของภูมิภาคเอเซีย และเป็นอันดับสองของโลก แต่ปัจจุบันด้วยผลใดก็ตาม จีนไม่ได้นำเข้าจากฟิลิปปินส์ จึงมองว่า เป็นโอกาสทองของเกษตรกรที่น่าจะหันมาปลูกกล้วยหอมคาเวนดิช เพราะมีตลาดรองรับที่ชัดเจน
"ซีพี เองไม่มีประสบการณ์มากที่ส่งเสริมและหันมาปลุกพืชชนิดนี้ แต่บริษัท โดลเอเชีย จำกัด เป็นผู้ชำนาญด้านนี้ เพราะเป็นรายใหญ่ของโลกที่ส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกกล้วยหอมคาเวานดิชทั้งในฟิลิปปินส์ อเมริกาใต้ โดยเฉพาะเอกวาดอร์ เราจึงจับมือกับโดล เอเซีย เพื่อส่งเสริมเกษตรกรไทยหันมาปลูกกล้วยหอมคาเวนดิช เบื้องต้นเราตั้งเป้าจะส่งเสริมจำนวน 6 หมื่นไร่ก่อน ผลผลิตจะรับซื้อเองทั้งหมดในราคาประกัน กก.ละ 12 บาท" ขุนศรี ยืนยัน

กล้วยหอม "คาเวนดิช" มาแรง 
ทางใหม่เกษตรกรไทย


ขุนศรี  บอกด้วยว่า ปัจจุบัน ซีพี มีแปลงทดลองแล้ว ในแปลงผลิตของบริษัททั้งที่ จ.กำแพงเพชรและ จ.ชลบุรี เก็บเกี่ยวผลผลิตไปแล้ว 2 ครอป ส่งให้กับ โดล เอเชียเพื่อทดลองส่งออกแล้ว และจากการที่ได้ทดลองปลูกในแปลงทดลอง พบว่ากล้วยชนิดนี้สามารถปลูกในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี 
"ที่แปลงเรา เฉลี่ยผลผลิตเครือละอยู่ที่ 30- 40 กก.โดยประมาณ  พื้นที่ 1 ไร่จะได้ผลผลิตราย 7-8 ตัน ถ้าราคา กก.ละ 12 บาท จะมีรายได้ไร่ละ 8.4 หมื่นบาทใช้เวลา ราว 9-10 เดือน ลงทุนชุดแรก ค่าปรับที่ดิน ระบบน้ำ ต้นกล้า ปุ๋ย ค่าแรงตกราว 3.2 หมื่นบาท ชุดแรกมีกำไรแล้ว ชุดต่อไป ค่าปรับดินไม่มี ระบบน้ำก็ไม่มี ต้นกล้าก็ไม่มี เพราะเรามีเทคโนโลยีชั้นสูง ลงทุนค่าต้นกล้าครั้งเดียว อยู่ได้ถึง 10 ปี ลองคิดดูครับ จะมีรายได้ต่อไร่ต่อรุ่นเท่าไร ที่สำคัญรุ่นต่อมาใช้เวลาเพียง 6 เดือนต่อครอป เพราะใช้หน่อลูก ได้ทั้งเงินเพิ่ม ระยะเวลาสั้นอีกด้วย" ขุนศรี ให้ข้อคิด   
จึงนับเป็นพืชเศราฐกิจตัวใหม่สำหรับประเทศไทย ทีเป็นทางเลือกของเกษตรกร  
ดังนั้น หากสนต้องการจะปลูกกล้วยหอมเขียว คาเวนดิช วันที่ 26 สิงหาคม 2560 นี้ มีสัมมนาหัวข้อ "จับกล้วยหอมเขียว คาเวนดิช ปลูกในไทยสดใสในตลาดโลก" ที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ สอบถามเพิ่มเติม ได้ที่โทร. 089-7835887  081-497-7680

logoline