โดยกลุ่มพนักงานตั้งข้อสังเกตว่ามูลค่าสัมปทานที่ขยายเวลาให้ BEM ใน 3 โครงการ โครงการละ 30 ปี มีมูลค่ากว่า 2.7 แสนล้านบาท โดยคำนวณจากรายได้ทางด่วนขั้นที่ 1 และทางด่วนขั้นที่ 2 ส่วน A และ B สัดส่วน 40% ส่วน C และส่วน D สัดส่วน 100% และทางด่วนอุดรรัถยา หรือบางปะอิน-ปากเกร็ด ซึ่งรายได้ 100% เป็นของเอกชน
และเป็นที่น่าสังเกตว่า BEM เป็นผู้จัดทำร่างสัญญาขยายอายุสัมปทาน 30 ปี แทนที่ฝ่ายรัฐจะดำเนินการ ทำให้เอกชนเกิดความได้เปรียบภาครัฐ ทั้งที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้หาทางเจรจาเยียวยา เพื่อให้กทพ.ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด หลังจากศาลปกครองสูงสุดชี้ขาดให้จ่ายค่าชดเชย BEM 4,300 ล้านบาทในโครงการทางด่วนอุดรรัถยา หรือบางปะอิน-ปากเกร็ด
กลุ่มพนักงาน กทพ.ยังเรียกร้องให้บอร์ดกทพ.รอรัฐบาลชุดใหม่เข้ามารับตำแหน่ง ก่อนส่งร่างสัญญาให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบ และเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติ เพื่อให้เกิดความรอบคอบ รวมทั้งขอความชัดเจนเรื่องการลงบัญชีขยายอายุสัมปทานทางด่วน 30 ปี จะส่งผลกระทบต่อกทพ.หรือไม่อย่างไร
ขณะที่ประธานบอร์ดกทพ. สุรงค์ บูลกุล บอกว่า บอร์ดมีมติให้ กทพ.ปรับแก้ถ้อยคำในร่างสัญญา และให้นำมาเสนอใหม่ในการประชุมต้นเดือนมิถุนายน ก่อนส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจสอบต่อไป ขณะเดียวกันจะเสนอให้กระทรวงคมนาคมพิจารณามติบอร์ดที่อนุมัติให้ขยายอายุสัมปทาน BEM 30 ปี ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาว่าควรอนุมัติให้เซ็นสัญญาขยายอายุสัมปทานหรือไม่
ส่วนข้อกังวลของกลุ่มพนักงานกทพ.ที่ไม่เห็นด้วยกับการขยายอายุสัมปทาน ยืนยันว่าแนวทางดังกล่าวเป็นการระงับข้อพิพาท และเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดในภาวะปัจจุบัน และบอร์ด กทพ.ได้พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยใช้เวลาถึง 4 เดือน
ขณะที่รักษาการผู้ว่าการ กทพ. สุทธิศักดิ์ วรรธนวินิจ บอกว่า จะหารือกับผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. เพื่อขอความชัดเจนกรณีการลงบัญชีรายรับรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการขยายอายุสัมปทาน 30 ปีให้ BEM ว่าส่งผลกระทบต่อกทพ.หรือไม่ หาก สตง.ยืนยันว่าการลงบัญชีเกิดผลกระทบเชิงลบ ทำให้กทพ.ขาดทุน ก็พร้อมจะแก้ไขหรือยกเลิกการขยายอายุสัมปทาน
ทีมข่าวเนชั่นทีวี รายงาน