svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

"กรณ์"โพสต์ถึง "ธนาธร" ยิ่งมองไม่เห็น ยิ่งตรวจสอบไม่ได้!

19 มีนาคม 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

หลังจากที่ "ธนาธร" ลงนามจัดการทรัพย์สินมูลค่ากว่า 5,000 ล้าน ให้เอกชนจัดการเพื่อแก้ข้อครหา เล่นการเมืองเพื่อธุรกิจครอบครัว มุ่งสร้างมาตราฐานจริยธรรมทางการเมือง เผย สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ เตรียมขายหุ้นมติชน ย้ำ ตนต่างกับทักษิณ อย่าเอาไปเหมารวม ลั่น อนาคตใหม่มี ส.ส. เขตทุกภูมิภาคอย่างแน่นอน

ช่วงเช้าวันนี้ ที่อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ ถนนเพชรบุรี กรุงเทพฯ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จัดแถลงข่าว เรื่องแนวทางการจัดการทรัพย์สินของตน ในการเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง พร้อมลงนามเอกสาร MOU ซึ่งจัดทำและลงนามในร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนบุคคล

"กรณ์"โพสต์ถึง "ธนาธร" ยิ่งมองไม่เห็น ยิ่งตรวจสอบไม่ได้!

โดยหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ บอกว่า การแถลงในวันนี้ คือแนวทางการจัดการทรัพย์สินของตนก่อนเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมือง พร้อมลงนามเอกสาร MOU ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนบุคคล หรือที่เรียกว่า บลาย ทรัส คือการนำทรัพย์สินตนเอง ไปให้บริษัทจัดการทัพย์สินดูแล โดยไม่มีอำนาจสั่งการ และมองไม่เห็น เพื่อต้องการที่จะปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ด้วยความซื่อสัตย์ และความสุจริตใจ ไม่เบียดบังเวลาราชการไปประกอบธุรกิจ และปฏิเสธการใช้ช่องว่างของบทบัญญัติแห่งกฎหมายในการกระทำอันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวมขณะเดียวกัน นายธนาธร บอกว่า สิ่งนี้จะเป็นการสร้างมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองใหม่ แก้ข้อสงสัย ลบข้อครหา ว่าตนเข้ามาทำการเมือง เพื่อธุรกิจครอบครัวหรือไม่ ซึ่งการทำเช่นนี้ ข้อดี คือ จะได้ไม่วอกแวก มีบุคคลมาดูแลทรัพย์สินให้ จะได้ทุ่มเทการเมืองเต็มที่ พร้อมย้ำว่า มาเพื่ออุดมการณ์ ไม่ใช่ทำให้ตัวเองรวยขึ้น หรือครอบครัว
นายธนาธร กล่าวว่า ส่วนตัวจะเก็บทรัพย์สินไว้บ้างเฉพาะที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ส่วนหุ้นทั้งหมด การลงทุนทั้งหมด ยกให้บริษัทจัดการกองทุนดูแล ทั้งนี้ ตนอยากยกระดับมาตรฐานที่สูงกว่ากฎหมายไทย ที่แค่สั่งไม่ได้ แต่ต้อง มองไม่เห็นด้วย ซึ่งต้องทำสัญญา ความเสี่ยง พร้อมแต่งตั้งสถาบันการเงินที่น่าเชื่อถือ ที่เป็นบุคคลที่สาม มากำกับดูแลอีกขั้น แต่ส่วนตัวไม่สามารถสั่งการได้ และมองเห็นเช่นกัน จะเจอทรัพย์สิน ตนเองอีกครั้ง ก็ต้องเมื่อ เลิกเล่นการเมือง ซึ่งปลายเดือนพฤษภาคม ก็คาดว่าการโอนย้ายทรัพย์สิน จะแล้วเสร็จ
ส่วนมูลค่าทรัพย์สินจะมากน้อยเท่าใดนั้น นายธนาธรบอกว่า อีกประมาณหนึ่งเดือนถึงจะเช็คยอดได้ทั้งหมดแต่ก็คงอยู่ในกรอบ 5,000 ล้านบาท บวกลบ ส่วนจะมากน้อยแค่ไหน เมื่อเป็น ส.ส. ก็คงต้องชี้แจง

"กรณ์"โพสต์ถึง "ธนาธร" ยิ่งมองไม่เห็น ยิ่งตรวจสอบไม่ได้!

ส่วนในตัวข้อสัญญาจะระบุชัด ว่าจะไม่ซื้อหุ้นไทยทุกตัว ในตลาดหลักทรัพย์ และการจัดการกองทุนนี้ จะปลดล็อก จนกว่าตนเอง จะพ้นตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว 3 ปี รวมถึงกรณีของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้เป็นมารดา ที่จะขายหุ้นสื่อมวลชน (มติชน) ในระยะเวลาอันใกล้นี้ พร้อมย้ำว่า เมื่อครั้งที่ตนเป็นกรรมการบริหารมติชน ก็ทำอย่างสุจริต ช่วยผลักดันในหลายปี ย้ำว่า เมื่อพฤษภาคม ปีที่แล้ว ที่ลาออกมาครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจ ก็ไม่มีการส่งไปนั่งเป็นกรรมการบริหาร แทนตำแหน่งตนที่ว่างไป ซึ่งนางสมพร ก็จะขายหุ้น เพื่อให้ สังคมสบายใจ
ส่วนกรณีของกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ย้ำว่า เป็นธุรกิจเปิดเสรี คู่แข่ง ไม่มีคนไทย แต่แข่งขันกับต่างชาติ และ ไม่เคย เข้าไปเป็นคู่สัญญากับรัฐ แทบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ ลูกค้าอยู่ต่างประเทศ ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัท ไม่ได้มีรายได้หลัก จากลูกค้าภาครัฐ ซึ่งหากในอนาคต ไทยซัมมิท จะไปเป็นคู่สัญญากับภาครัฐ ก็อยากให้สื่อ ประชาชน ช่วยกัน ตรวจสอบ เพราะตนไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวได้เพราะเราออกมาแล้ว และหากในอนาคต ตนมีตำแหน่งทางการเมือง ก็จะไม่เข้าไปร่วมตัดสินใจ ในเรื่องที่ไทยซัมมิททำกับรัฐ
ผู้สื่อข่าวถามถึง ในการจัดการทรัพย์สินครั้งนี้เป็นเพราะมีบทเรียนจากนักการเมืองในอดีตที่เป็นนักธุรกิจ อย่างนายทักษิณ ชินวัตร หรือไม่นั้น?นายธนาธร บอกว่า ไม่ได้คิดว่าเฉพาะทักษิณ ส่วนที่หลายคนมองและเปรียบเทียบนายธนาธรกับนายทักษิณ เหมือนกันนั้น นายธนาธร บอกว่า การที่จะไม่ทำแบบนายทักษิณ คือ ซื่อตรง เมื่อลาออกแล้ว ลาออกจริง ไม่เคยกลับไปยุ่งกับธุรกิจ เชื่อมั่นในเกียรติของตนเพียงพอ แบ่งเส้นธุรกิจ กับการเมืองชัดเจน เพราะรวยขึ้นอีกพันล้าน ไม่คุ้มกับความด่างพร้อย และทำลายความฝันเปลี่ยนแปลงประเทศ ส่วนด้านการเมือง ความต่างคือ เราไม่ได้แก้ปัญหาเชิงประเด็น แต่ทำในเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่พรรคที่มีนโยบายเชิงประเด็น


ส่วนที่ออกมาจัดการทรัพย์สิน ในช่วงโค้งสุดท้ายเลือกตั้งนั้น นายธนาธร บอกว่า เหลืออีก6 วัน อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่ได้หมายความว่า การกระทำเช่นนี้ เพราะ ดีลร่วมรัฐบาลกับใครแล้ว ตกลงกับใครแล้ว ไม่มีคุย หรือต่อสายตรง ซึ่งภารกิจแรก ต้องเปิดประตูประชาธิปไตย ย้ำว่าจะหยุดสืบทอดอำนาจ คสช. แก้รัฐธรรมนูญปี 60 และยืนยันจะไม่ร่วมพรรคพลังประชารัฐเพียงพรรคเดียวเท่านั้น

และล่าสุด นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงประเด็นนายธนาธร ลงนามจัดการทรัพย์สิน ให้เอกชนจัดการ โดยมีข้อความระบุว่า...

"กรณ์"โพสต์ถึง "ธนาธร" ยิ่งมองไม่เห็น ยิ่งตรวจสอบไม่ได้!

จากหลากหลายความคิดเห็นที่เสนอเข้ามา ผมเลยขออธิบายความกังวลผมเพิ่มเติมตอนท้ายครับ...
ยิ่งมองไม่เห็น ยิ่งตรวจสอบไม่ได้
จากการแถลงข่าวเรื่อง blind trust ของคุณธนาธร ทำให้มีสื่อบางรายได้ทักท้วง สรุปความได้ว่า การอ้างว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีการทำเช่นนี้ เป็นการอ้างไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เคยมีนักการเมืองอีกหลายท่าน รวมทั้งผมด้วย เคยทำเช่นนี้มาก่อนแล้ว..
ผมขอชี้แจงตามนี้ว่า

"กรณ์"โพสต์ถึง "ธนาธร" ยิ่งมองไม่เห็น ยิ่งตรวจสอบไม่ได้!


1. "Blind Trust" ยังไม่มีจริงในประเทศไทย เพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับ เพราะฉะนั้นที่คุณธนาธรลงนามไปนั้น ไม่ใช่ blind trust และไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน
2. คุณธนาธรได้โอนทรัพย์สินให้สถาบันการเงินดูแล อันนี้หลายคนน่าจะเคยทำเหมือนกัน ผมก็เคยและวันนี้ก็ยังมีอยู่ โดยที่ผมก็ได้ลงนามสัญญาให้เขาบริหารโดยอิสระเช่นเดียวกัน
3. ผมเองเคยมี Trust อยู่ที่ต่างประเทศ และรายงานรายละเอียดทั้งหมดกับ ปปช. ตามกฎหมายว่าด้วยเรื่องการรายงานบัญชีทรัพย์สิน
4. แต่หลายปีมาแล้วผมได้ตัดสินใจทำสวนทางกับที่คุณธนาธรพยายามที่จะทำ คือผมยกเลิก Trust ที่มีอยู่ เพราะผมคิดว่าความโปร่งใสสำคัญกว่า ผมคิดว่าประเด็นที่น่ากังวลที่สุดในสิ่งที่คุณธนาธรได้ประกาศวันนี้ ไม่ใช่ว่าท่านเป็นคนแรกหรือไม่ แต่ที่ท่านบอกว่าทรัพย์สินที่ท่านโอนไปนี้จะ มองไม่เห็น เพราะเมื่อทุกคนบอดสนิทกับข้อเท็จจริงว่าท่านมีทรัพย์สินอะไรบ้าง การตรวจสอบเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจะเกิดขึ้นไม่ได้

"กรณ์"โพสต์ถึง "ธนาธร" ยิ่งมองไม่เห็น ยิ่งตรวจสอบไม่ได้!


จริงๆแล้ววิธีที่ชัดเจนที่สุดที่จะปลดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนคือการขายขาด (แต่อย่าขายให้ nominee กันอีกนะครับ)
แต่หากไม่ขาย ผมว่าที่ดีที่สุดคือเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะว่าเรามีทรัพย์สินอะไรบ้าง เพื่อให้มีการตรวจสอบได้ และที่ไม่ควรคือการโอนเข้าไปในที่ๆ มองไม่เห็น
***ความเห็นเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจน: หลายคนบอกว่ายังไงๆก็ต้องเห็นว่าลงทุนในอะไรบ้าง เพราะต้องรายงาน ปปช. ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ควรจะอ้างว่า มองไม่เห็น ครับ มันเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง.ส่วนการจัดตั้ง Blind Trust นั้นช่วยแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นหรือไม่ ผมคิดว่าช่วยได้จริงครับ แต่ต้องเปิดให้ตรวจสอบได้ตลอดเวลา คือพูดง่ายๆ ต้อง เห็น และมีความโปร่งใสตลอดเวลา ซึ่งปัญหาก็ยังจะมีอยู่ว่าเมื่อผู้มีอำนาจที่เป็นเจ้าของกองทุน เห็น แล้ว เขาก็สามารถเอื้อต่อทรัพย์สินของเขาได้อยู่ดี แต่อย่างน้อยเราติดตามและตรวจสอบได้
ทั้งหมดนี้คือสาเหตุที่ประชาธิปัตย์เพิ่งแถลงไปว่านักการเมืองทุกคนควร เปิดเผยผลประโยชน์ที่ตนและทุกคนในครอบครัวมี และไม่ควรทำอะไที่ทำให้คน ไม่เห็น ครับ
ส่วนโพสต์ที่ลบออกไปบ้างเป็นเพราะหยาบคายและไม่อยู่ในประเด็นครับ ความเห็นต่างที่สุภาพและอยู่ในประเด็นผมเปิดให้ได้อ่านโดยทุกคน

logoline