svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

สุภิญญา โพสต์"จากใจสู่เรือนจำ"หลังเข้าเยี่ยม "สุริยะใส-พิภพ"คนเยี่ยมน้ำตาซึม คนข้างในดูเข้มแข็ง

22 กุมภาพันธ์ 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ อดีตกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช. โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Supinya Klangnarong จากใจสู่เรือนจำ หลังเข้าเยี่ยม สุริยะใส กตะศิลา และ พิภพ ธงไชย อดีตสองแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถูกศาลฎีกาสั่งจำคุก 8 เดือนคดียึดทำเนียบรัฐบาลขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ปี2551

โดย สุภิญญา กลางณรงค์ ได้ร่ายข้อความดังนี้
จากใจสู่เรือนจำ
ในชีวิตคนเราจะมีโอกาสสักกี่ครั้งที่จะได้ไปเยี่ยมญาติสนิทมิตรสหายในเรือนจำ ฟังดูเป็นเรื่องน่ากลัว แต่เมื่อชีวิตมาถึงจุดนี้แล้วเรายอมรับความจริงได้ มันก็ไม่ยากจนเกินไป วิกฤตที่เกิดขึ้นทุกครั้งในชีวิตย่อมนำไปสู่โอกาสบางอย่างเสมอ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เข้าใจสัจธรรม เข้าใจโลกใบนี้มากขึ้น มาพร้อมกับความเข้มแข็งภายนอกและความอ่อนโยนภายใน
นั่นคือสิ่งที่เราสัมผัสได้จากการไปเยี่ยมเพื่อนที่รักอย่างสุริยะใส กตะศิลา (จะขอเรียกว่ายะใสต่อจากนี้) และคุณพิภพ ธงไชย (หรือพี่เปี๊ยกที่เคารพรักของพวกเรา) ในทั้งสองครั้งที่เราได้พบกันในเรือนจำพิเศษกรุงเทพผ่านกรงเหล็กที่กั้นด้วยกระจกแบบสัมผัสตัวไม่ได้ แต่ได้ยินกันและกันผ่านโทรศัพท์ที่คุณภาพเสียงแบบแอนะล็อก คงมีการบันทึกเทปด้วยและกล้องวงจรปิดที่จับความเคลื่อนไหวทุกจุด
ขณะที่คนไปเยี่ยมน้ำตาซึม แต่คนข้างในดูแจ่มใสเข้มแข็งดี แม้จะหน้าตาแปลกไปเพราะตัดผมเกรียนเลย ได้เห็นร่องรอยความอิดโรยและความเครียดซ่อนอยู่บ้างแต่ลึกมาก โดยเฉพาะยะใสซึ่งปรกติก็เป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สึกมากอยู่แล้ว ตลอดเวลาของการสนทนากับญาติมิตรที่ไปเยี่ยมถ้าไม่แซวกันไปมาหรือเล่าเรื่องราวในเรือนจำอย่างอารมณ์ดีก็จะเป็นโหมดคุยสั่งงานกันจริงจัง

เราทักทายยะใสว่า เป็นไงบ้าง เค้าตอบว่า โอเค ปรับตัวได้แล้ว มีนอนไม่หลับบ้าง เพราะกลางคืนไฟที่นี่สว่างและมีการเปิดทีวีเสียงดัง จากที่จะไม่ดูก็ต้องมานั่งดูกับเพื่อนที่อยู่ชายคาเดียวกัน
เราถามว่าถ้าได้ออกมาแล้วสิ่งแรกสุดอยากทำอะไรก่อน เค้าตอบติดตลกว่า จะดูละครเรื่อง "เมีย 2018" ให้จบ เราแปลกใจ ยะใสเลยเล่าต่อว่าเพราะผู้คุมเปิดละคร "เมีย 2018" ให้ดู แต่เปิดไม่จบสักที มีการย้อนกลับไปฉายตอนเก่าอยู่เรื่อยเลย เลยไม่รู้ว่าก่อนออกจะได้ดูจบไหม 555 เราถามว่าชอบดูเรื่องนี้เหรอ เค้าตอบว่า เคยได้ยินนักศึกษาพูดถึงแต่ไม่เคยดู พอผู้คุมมาเปิดในนี้ เพื่อนร่วมเรือนพักดูกันแล้วส่งเสียงเฮกันอย่างกับเชียร์บอล นอนไม่ได้เลยต้องมาดูด้วย ดูไปก็สนุกดี ทำไมเรือนจำเค้าเปิดละครเรื่องนี้ล่ะ แปลกดีนะ ยะใสตอบว่าละครคงสนุกช่วยให้ไม่เครียดมั้ง
การต้องไปอยู่ในที่ซึ่งไม่สามารถใช้เครื่องมือสื่อสารได้อย่างในเรือนจำ ว่าไปก็เป็นเรื่องที่พิเศษมากในยุคนี้ ถือเป็นการดีทอกซ์ ล้างใจตัวเองจากสื่อสังคมออนไลน์ทั้งหลายด้วย นัยหนึ่งช่วยทำให้เรากลับมามีสมาธิ ได้อยู่อย่างเงียบสงบ ให้เวลากับตัวเองอย่างจริงจังเป็นเวลายาวนาน เสมือนได้ฝึกกรรมฐานรูปแบบหนึ่งถ้าเราตั้งใจ
เราเลยถามว่าได้ปฏิบัติธรรมบ้างไหม ยะใสตอบว่าก็ได้นั่งสมาธิสวดมนต์ ตอนเช้าตีห้าทุกวันจะมีทีวีเปิดแนะนำการนั่งสมาธิ เราสาธุด้วย ดีจัง ไว้จะตื่นมานั่งสมาธิตอนตีห้าพร้อมกันบ้างจะได้แผ่มิตรไมตรีแบบเปิดเครื่องส่งเครื่องรับให้ตรงกันพอดี
ยะใสเล่าต่อว่า ชีวิตในเรือนจำก็ไม่ได้ว่างเลยนะ เพราะเราถามว่าได้นอนกลางวันบ้างไหม เค้าตอบทันทีว่าไม่เลย เพราะมีกิจกรรมคุยกับผู้คนตลอดเวลา ไหนจะคุยกับพี่ๆแกนนำ พธม.ด้วยกัน คุยกับผู้คุม และ คุยกับผู้ต้องขังสารพัดหลากหลาย ยิ่งยะใสพอเป็นที่รู้จักอยู่แล้ว มีหลายคนมาเล่าปัญหาชีวิตให้ฟัง มีมาร้องทุกข์เรื่องคดีความด้วย ยะใสพูดติดตลกว่าจะเปิดห้องรับเรื่องร้องเรียนในเรือนจำแล้ว (ญาติมิตรที่มาเยี่ยมเล่าเสริมภายหลังว่า ยะใสรับเรื่องราวของคนข้างในมาส่งต่อทนายข้างนอกให้ช่วยตามต่อด้วย)
สรุปคือ เข้ามาพักกายพักใจในเรือนจำแล้ว ยังทำงานอีก รับฟังปัญหาของคนอื่นมาช่วยเคลื่อนไหวต่อ ซึ่งเป็นนิสัยและบุคลิกของยะใส จนบางครั้งก็คิดว่าเค้าให้เวลากับการเคลียร์ปัญหาในใจของตัวเองน้อยไปหรือเปล่า เพราะใช้สมาธิกับการช่วยคนอื่นแก้ปัญหามาก ไม่ว่าเรื่องนั้นสุดท้ายจะแก้ไขได้หรือไม่ก็ตาม
หลายท่านอาจจำภาพยะใสได้จากการเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) แต่สำหรับเราที่รู้จักกันมานานย้อนกลับไปตั้งแต่ก่อนมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 เนื่องจากเราเคยไปสัมภาษณ์ยะใสสมัยเค้าทำงานเคลื่อนไหวให้สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) แล้วต่อมาอะไรก็ไม่รู้จัดสรรให้เราต้องมาทำงานที่มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) ซึ่งเป็นตึกเดียวกับที่ทำงานของยะใสในเวลาต่อมาคือคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) เจอหน้ากัน ทำงานด้วยกันในตึกเดียวกันเป็นเวลานับสิบปี ก็นานพอจะได้เห็นวิถีชีวิตและการทำงานกันมากพอควร
เค้าเคลื่อนไหวช่วยเป็นปากเสียงให้กับพี่น้องภาคประชาชนมานานหลายปี หลายประเด็นมาก ไม่ใช่เคลื่อนไหวเฉพาะงานปฏิรูปการเมืองอย่างเดียว รู้จักเครือข่ายเยอะ คุยโทรศัพท์ประสานงานอะไรก็ไม่รู้ตลอดเวลา ถ้าว่างหน่อยก็แอบเล่นเกมไพ่คลายเครียด แล้วก็คุยเรื่องงานต่อ จากนั้นก็เคลื่อนไหวอีก อาทิ นัดประชุมวางแผน แถลงข่าว ไปยื่นหนังสือ ไปฟ้องศาล เวียนกันไปมาเช่นนี้โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และ มาชวนเราเคลื่อนไหวด้วย จากเริ่มทำงานเอ็นจีโอยุคแรกที่เรายังสายลมแสงแดด ยะใสก็ชวนมาทำงานเคลื่อนไหวเรื่องการปฏิรูปสื่อซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการเมือง และ ฝึกเราให้เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง จากที่เคยมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ก็ต้องมาทำงานอีก เช่น มาประชุม แถลงข่าว สัมมนา เสวนา เคลื่อนไหวตลอดเวลาแบบไม่ได้หยุดหย่อน จนนำไปสู่การที่เราต้องมีคดีความถูกฟ้องร้องจากการทำงานต่อมาด้วย
แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าไม่มียะใสช่วยเทรนนิ่งมา ก็คงไม่มีเรามาถึงทุกวันนี้ ยกเครดิตให้เลย ... อยากพูดประโยคนี้เหมือนกันตอนไปเยี่ยมที่เรือนจำว่าขอบคุณอีกครั้งนะ เพราะช่วงที่เราเจอปัญหาคดีความและความขัดแย้งจากงานต่างๆ ยะใสก็ช่วยเราอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา แต่เจอกันก็พูดไม่ออก คงเพราะคนเยอะและคิดว่าเค้าก็คงพอรู้บ้างแล้ว เลยคุยถามไถ่เรื่องสัพเพเหระเพลินๆกันให้สบายใจมากกว่า บางทีชวนคุยเรื่องลึกซึ้งก็อาจทำให้เครียดมากขึ้นก็ได้ 555
....
ทิ้งท้ายยะใสฝากบอกทุกคนว่า สบายดี ปรับตัวได้แล้ว ผู้คุมดูแลดี เพื่อนร่วมแดนหนึ่งนิสัยดี เรือนจำสะอาดสะอ้าน มีนโยบายห้ามบุหรี่เด็ดขาดแล้ว แต่ผู้คุมหรือเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่เจอส่วนใหญ่เป็นคนใต้ร้อยละ80 ไม่ค่อยมีคนอีสานเลย (55 :)
ยะใสยังบอกต่อว่าการได้มาฟังเรื่องราวของเพื่อนที่ผุ้ต้องขัง ทำให้เห็นถึงชีวิตคนอื่นซึ่งต้องขาดอิสรภาพ มีปัญหามากกว่า การได้เห็นทุกข์ของผู้คน ทำให้สัมผัสได้ถึงความหวังของคนรายรอบที่จะได้ออกไปแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่
เราบอกว่าดีแล้วล่ะที่ได้เรียนรู้ชีวิตของเพื่อนมนุษย์แต่ก็ดูแลใจตัวเองด้วย รับเรื่องราวคนอื่นมามากเกินไป ใจเราก็จะอมทุกข์เพิ่มขึ้น ดังนั้นการแวบออกมาคุยกับเพื่อนที่ไปเยี่ยมทุกวัน ก็คงทำให้ได้ผ่อนคลายบ้าง และการได้ปฏิบัติภาวนาก็เป็นเรื่องดีที่จะได้ชำระจิตใจที่วุ่นวายให้สงบลง เปลี่ยนเรือนจำให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม สิ่งที่ตามมาจะดีงามเอง สาธุ
.......
ตัดกลับมาคุยกับพี่เปี๊ยกบ้าง ซึ่งดูยิ้มแย้มแจ่มใส นิ่งสงบกว่ายะใสตามวัยวุฒิและประสบการณ์ พี่เปี๊ยกบอกว่าทุกคนข้างในสบายดี มีเวลาอ่านหนังสือเยอะขึ้น เรือนจำก็เป็นแหล่งเรียนรู้ชั้นดี จำลองปัญหาสังคมทุกรูปแบบมาอยู่รวมกันทีเดียวทั้งเชิงโครงสร้างและอื่นๆ อยากให้ทุกคนได้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์บ้าง 555 มีคนถามพี่เปี๊ยกว่าอยากได้อะไรมั้ย พี่เปี๊ยกตอบว่างาดำแบบไม่ต้องบด และ ผ้าปิดตา เพราะตอนกลางคืนไฟต้องเปิดตลอดก็มีปัญหาการนอนหลับบ้าง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ แต่บรรยากาศโดยรวมในเรือนจำถือว่าดี สะอาด ผู้คนเป็นมิตร
เราถามว่าจะฝากอะไรไปถึงคนข้างนอกบ้าง พี่เปี๊ยกหัวเราะแล้วบอกว่า คนข้างนอกก็อยู่กันให้มีความสุขเถอะ 55
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน สุขทุกข์อยู่ที่ใจจริงๆ
พี่เปี๊ยกมีความเมตตามากให้กับเรา ช่วยก่อตั้งคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) เป็นที่ปรึกษา ช่วยเรื่องคดีความของเราจนชนะ และ อีกหลายเรื่องที่เล่าไม่หมดในขบวนการทำงานภาคประชาชน วันนี้พี่เปี๊ยกคงเป็นที่พึ่งสำคัญให้ยะใสตอนอยู่ข้างในด้วย ทั้งสองต่างเป็นความอบอุ่นใจซึ่งกันและกันโดยเฉพาะในยามยากนี้
ดูเหมือนว่าการมีคนหมุนเวียนไปเยี่ยมเยอะก็ทำให้คนข้างในต้องตอบคำถามเดิมซ้ำหลายรอบเหมือนกัน แต่ก็มีพลังใจดี โดยเฉพาะตอนที่ต้องลากันเป็นโมเมนท์ที่ซึ้งมากเลย โบกมือกันจนลับตาเหมือนมาส่งขึ้นเครื่องบินจนเข้าประตูไป
โลกข้างในกับโลกข้างนอกเสมือนโลกที่ซ้อนคู่ขนาน ต่างมีเรื่องราวของตนเอง แต่เชื่อมโยงกัน เป็นทวิภพในนัยหนึ่ง เมื่อคนข้างในออกมาแล้วคงต้องปรับตัวกับโลกข้างนอก ขึ้นอยู่กับเวลาที่อยู่โลกข้างในด้วย แต่เชื่อว่าจะทำให้ทุกคนเข้มแข็งขึ้น ได้ทบทวนเรื่องราวทั้งบวกและลบ มืดและสว่าง และอยู่กับความเป็นจริงได้มากขึ้น
สิ่งหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแน่ๆคือความรู้สึกที่จะไม่อยากมีคดีความอีก ขนาดคดีเราเองที่ศาลฎีกาให้ตัดสินรอการกำหนดโทษในคดีอาญาจากการชุมนุมค้าน สนช. ไม่ได้ติดคุกจริงๆ เรายังไม่อยากที่จะเสี่ยงในกิจกรรมแบบนั้นอีก จะว่าทำให้เรากลัวมากขึ้นก็คงใช่ มันคงเป็นวิถีที่โลกจะสอนเรา แม้ปัญหาสังคมจะเหมือนเดิม แต่เราคงไม่อาจแสดงบทบาทได้เหมือนเดิม เว้นแต่จะมีเหตุปัจจัยอย่างอื่นในอนาคตให้ทำงานที่ต้องมีความเสี่ยงอีกครั้ง
ขออภัยที่ยังไม่ได้มีบทสนทนากับพี่ๆแกนนำพันธมิตรฯท่านอื่นโดยตรงด้วย ทั้งพลตรีจำลอง ศรีเมือง คุณสนธิ ลิ้มทองกุล อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข
วันนี้เราได้เจอแค่สองคน เพราะการเข้าเยี่ยมต้องมีญาติของแต่ละคนมารอนำแขกเข้าไปในเรือนจำแต่ละวัน แต่ก็ขอส่งกำลังใจให้กับพี่ๆทุกท่านที่ต่างผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว การขาดอิสรภาพครั้งนี้คงยิ่งทำให้ทุกท่านมีพลังใจเข้มแข็งขึ้น สิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านเลยไป อดีตไม่ย้อนกลับมาแล้ว การอยู่กับปัจจุบันได้ดีอย่างทุกท่านในเรือนจำวันนี้จึงมีความหมายยิ่งนัก
ตลอดเส้นทางสายนี้เราอาจจะเห็นเหมือนเห็นต่างกันไปบ้าง แต่ทุกการต่อสู้ย่อมมีบาดแผลและบทเรียน ด้วยความหวังว่าความขัดแย้งทางความคิดกันในทางการเมืองคงทำให้สังคมไทยมีวุติภาวะมากขึ้นในระยะยาว ขอคารวะในจิตใจนักสู้ของทุกท่าน ด้วยความหวังว่าคงไม่ต้องมีใครต้องเข้าสู่เรือนจำเพราะการต่อสู้ทางการเมืองอีก พูดง่ายแต่เป็นไปได้ยาก
แม้ขาดเสรีภาพแต่ขอให้ทุกท่านเป็นอิสระจากความกังวลใจใดๆ มีความสงบและรอยยิ้มได้เสมอแม้ทุกอย่างจะดูไม่เป็นไปอย่างที่เราตั้งใจ ยิ้มได้แม้ยามชีวิตยากลำบากที่สุด ดังบทกวีของElla Wheeler Wilcox ที่ว่า
"It is easy enough to be pleasant, when life flows by like a song,
But the man worth while is one who will smile, When everything goes dead wrong. For the test of the heart is trouble, And it always comes with years, And the smile that is worth the praises of earth is the smile that shines through tears."
สุภิญญา กลางณรงค์ 21 กุมภาพันธ์ 2562
ปล. อ้่างอิงชื่อเรื่องจากบันทึกของพี่รสนา โตสิตระกูลก่อนหน้านี้ที่ไปเยี่ยมพร้อมกันส่วนวันนี้ไปเยี่ยมเจอพี่ปรีดา เตียสุวรรณ พี่อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ พี่วสันต์ สิทธิเขต พี่เถกิง สมทรัพย์ พี่ตุลย์ ศิริกุลย์พิพัฒน์ด้วย
ส่วนรูปบนตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 รูปล่างปี พ.ศ.2547 ค่ะ
Pibhop Dhongchaiสุริยะใส กตะศิลา

logoline