2 สมาคมยื่นหนังสือนายกฯ รื้อสัมปทานดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิ

ในช่วงเช้าวันนี้ นายกสมาคมการค้าร้านค้าปลอดอากรไทย รวิฐา พงศ์นุชิต และประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย วรวุฒิ อุ่นใจ ได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นครั้งที่สอง หลังจากยื่นข้อเสนอแนะไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2560 โดยยื่นข้อเสนอ 3 เรื่อง คือ 1.เสนอให้ทบทวนหลักเกณฑ์การให้สัมปทานธุรกิจร้านค้าปลอดอากร หรือดิวตี้ฟรี 2.การจัดตั้งจุดส่งมอบสินค้าสาธารณะในสนามบิน และ 3.การลดอัตราอากรขาเข้าทั้ง 2 สมาคมฯ ระบุว่า ได้ร่วมกันศึกษาแนวทางที่เหมาะสมสำหรับการให้สัมปทานธุรกิจร้านค้าดิวตี้ฟรี ซึ่งจะเพิ่มรายได้จากอุตสาหกรรมค้าปลีกท่องเที่ยว คิดเป็นเงิน 270,000 ล้านบาทต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 1 ใน 3 ของรายได้จากการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ภาครัฐได้รับผลประโยชน์สุทธิกว่าปีละ 32,000 ล้านบาทสำหรับรายละเอียดของหนังสือ ระบุว่า ปัจจุบัน บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. ใช้ระบบสัมปทานรายเดียวในการจัดตั้งร้านค้าดิวตี้ฟรีในสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ซึ่งเป็นการผูกขาดและไม่ก่อให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม ส่งผลให้ความหลากหลายของสินค้า และคุณภาพของการบริการมีจำกัดทั้ง 2 สมาคมฯจึงเสนอให้พิจารณาปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์และเงื่อนไข หรือทีโออาร์สำหรับการเปิดประมูลสัมปทานฯในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะมีขึ้นในเร็วๆนี้ โดยเปลี่ยนจากระบบสัมปทานรายเดียว มาใช้ระบบสัมปทานหลายรายตามหมวดหมู่สินค้า ซึ่งเป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในสนามบินชั้นนำทั่วโลก เช่น สนามบินอินชอนของเกาหลีใต้ สนามบินชางงีของสิงคโปร์ และสนามบินฮ่องกง เพราะเป็นแนวทางที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ให้สัมปทานและผู้ใช้บริการสนามบินส่วนข้อเสนอการจัดตั้งจุดส่งมอบสินค้าสาธารณะในสนามบิน เพราะในปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองมีจุดส่งมอบสินค้าในสนามบินสำหรับผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรในเมือง หรือ Downtown Duty Free เพียงรายเดียว ถือเป็นการผูกขาดเช่นกัน ทั้ง 2 สมาคมฯจึงเสนอแนะว่าจุดส่งมอบสินค้าสาธารณะในสนามบินนานาชาติทุกแห่งที่อยู่ในกำกับดูแลของ ทอท. ต้องจัดให้มีขึ้นตามกฎหมายศุลกากร โดยไม่เปิดให้มีสัมปทาน แต่ให้ผู้ประกอบการร้านค้าปลอดอากรในเมืองที่ได้รับอนุญาตจากกรมศุลกากร สามารถเช่าพื้นที่พร้อมระบบตรงกับ ทอท.สำหรับข้อเสนอให้พิจารณาลดหย่อนอากรขาเข้าสำหรับสินค้านำเข้าที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว เพราะปัจจุบันอากรขาเข้าของประเทศไทยสำหรับสินค้าที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทย เช่น เครื่องสำอาง เสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้า อยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค เช่น จีน มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ซึ่งได้มีการปรับยกเว้นหรือลดอากรขาเข้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาค้าปลีกลดลง ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นนอกจากนี้ มาตรการยกเว้นหรือลดอากรยังส่งผลให้คนในประเทศลดการใช้จ่ายในต่างประเทศ อีกทั้งยังลดการซื้อขายในตลาดของหิ้ว หรือ grey market ให้น้อยลงอีกด้วย จึงเสนอว่าควรพิจารณาลดหย่อนอากรขาเข้าสำหรับสินค้าประเภทที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและประเภทที่นักท่องเที่ยวไทยนิยมซื้อจากต่างประเทศ เพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยให้ดียิ่งขึ้นในระดับภูมิภาค และสร้างผลประโยชน์ให้กับทุกฝ่าย ทั้งทางภาครัฐ ภาคเอกชน ประชาชน รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทย

.

.