11 ม.ค.62 - ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 13.30 น.ที่ผ่านมา "มูลนิธิมิตรภาพบำบัด" ได้จัดเสวนาเชิญตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ แสดงจุดยืนเกี่ยวกับนโยบายหลักประกันสุขภาพ ในหัวข้อ "เวทีมองไปข้างหน้ากับการสร้างหลักประกันสุขภาพเพื่อคนไทยทุกคน" ในวาระรำลึก11 ปี การเสียชีวิตของ นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ผู้ร่วมสร้างงานด้านหลักประกันสุขภาพ โดยมีตัวแทนจากภาคประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย
โดย "นายกสมาคมเพื่อนโรคไต" ในส่วนของภาคประชาชน ได้แสดงความคิดเห็นว่า ก่อนที่จะพูดถึงระบบประกันสุขภาพจริงๆก็ยังไม่รู้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่หรือเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่อย่างไรก็ดีหากจะพูดถึงระบบประกันสุขภาพ ในปัจจุบันเท่าที่มองเห็นรู้สึกว่าระบบยังมีความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจนและทำให้การรักษานั้นไม่เท่าเทียม ดังนั้นทำให้การจัดระบบ เรื่องสุขภาพการใช้สิทธิของข้าราชการ สิทธิของระบบหลักประกันสุขภาพฯ (สิทธิผู้ถือบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค) และสิทธิประกันสังคมจึงไม่เป็นธรรม เช่นกรณีของผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายคนที่ใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพ ค่าฟอกไตครั้งหนึ่งก็จะอยู่ที่ 1,500 บาท ขณะที่ส่วนการใช้สิทธิประกันสังคมแม้ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 1,500 บาทเท่ากัน แต่ด้วยกฎหมายนั้นได้เอื้อประโยชน์ให้กับหน่วยบริการว่าหากใช้หลักประกันสุขภาพก็ให้ผู้ประกันตนนั้นจ่ายเอง ขณะที่สิทธิ์ข้าราชการในการฟอกไตถ้าฟอกไตจะอยู่ที่ครั้งละ 2,000 บาทโดยเครื่องฟอกไตก็เป็นเครื่องตัวเดียวกัน
ดังนั้นจึงอยากจะฝากไปในอนาคตว่าหากพรรคใดจะเข้ามาเป็นผู้นำประเทศก็ต้องหาแนวทางการรวมกองทุนทั้ง 3 กองทุนเพื่อให้เป็นรัฐสวัสดิการโดยทำเป็นกองทุนเดียวกันรักษาด้วยมาตรฐานเดียวกันคือสิ่งที่เราอยากเห็น และเรื่องค่ารักษาพยาบาล ซึ่งปัจจุบันอย่างราคาแพงและไม่เป็นการธรรม สุดท้ายที่เป็นหัวใจหลักอีกเรื่องก็คือ การซื้อยารวมของประเทศควรให้เป็นกองทุนเดียวไม่ใช่กระจัดกระจาย ให้ว่าเป็นสิทธิ์ข้าราชการซื้อสิทธิ์ประกันสังคมซื้อ โดยการให้ซื้อยาลักษณะเป็นการซื้อยารวมของประเทศโดยกองทุนเดียวก็จะมีอำนาจต่อรองราคายากับบริษัทยาได้สูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่นการซื้อน้ำยาล้างไต ในระบบการหลักสุขภาพฯ จะซื้อได้ในราคาไม่เกิน 113 บาทถ้ารวมค่าขนส่งโลจิสติกส์จะอยู่ที่ 128 บาท ส่วนสิทธิประกันสังคมจะอยู่ที่ 150 บาท ส่วนสิทธิราชการก็จะสูงขึ้นไปกว่าราคาดังกล่าวอีก และอยากจะฝากถึงพรรคการเมืองในอนาคตด้วยว่า ให้ใช้เงินมาลงในระบบประกันสุขภาพให้เคลียร์ที่สุด
ด้าน "น.ส.บุญยืน ศิริธรรม" นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิชุมชน ก็สะท้อนความคิดเห็นถึงพรรคการเมืองต่างๆ ด้วยว่า ในเรื่องการเข้าถึงบริการในระบบหลักประกันสุขภาพ สิ่งที่สำคัญคือต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่จะต้องให้เข้าถึงอย่างเท่าเทียมกันด้วย โดยก่อนที่จะมีระบบบัตรทองหลักประกันสุขภาพ พวกเราพยายามแสวงหาระบบที่จะให้ทุกคนทีสิทธิ แต่เมื่อมีระบบ หลักประกันสุขภาพกับเขียนกฎหมายผูกไว้ในเรื่องต้องมีเลขบัตรประชาชา 13 หลัก ทำให้คนไทยที่ไม่มีบัตรประชาชนเขาขาดสิทธิ์ทันทีดังนั้นเราจึงอยากจะให้ปรับ ในเรื่องนี้ให้เป็นของคนไทยทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยด้วย โดยคนไทยทุกคนก็เสียภาษีเช่นเดียวกันหมด
และที่สำคัญการที่จะทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพยืนอยู่ได้โดยทำให้คนป่วยน้อยลงก็คือ การให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม การส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค และในการพัฒนาความเจริญต่างๆก็จะต้องคำนึงถึงให้มากที่สุดว่าแม้นจะพัฒนาความเจริญแต่ก็จะต้องไม่กระทบต่อสุขภาพของคนในชุมชน เช่น การพัฒนาแม่ต่างๆหรือถ่านหินที่เมื่อใช้แล้วมีผลกระทบ ก็จะต้องดูแลแก้ไขให้การพัฒนานั้นเป็นไปด้วยความเหมาะสม ไม่ทำลายสุขภาพของประชาชน ไม่เช่นนั้นไม่ว่าจะมีเงินสมทบในกองทุนมากเท่าใดแต่ประชาชนยังมีความเจ็บป่วยจากผลของการพัฒนาความเจริญด้านต่างๆ ก็แก้ปัญหาสุขภาพประชาชนที่ดีไม่ได้ เพราะความเจริญนั้นต้องไม่ทำลายล้างประชาชน อย่างไรก็ดีสำหรับแนวคิดเรื่องรัฐสวัสดิการ เราก็หวังจะให้เกิดขึ้นเหมือนก่อนหน้านี้ที่เราไม่คิดว่าระบบหลักประกันสุขภาพจะเกิดขึ้นได้ในประเทศไทยแต่วันนี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้แล้ว ดังนั้นถ้าจะเป็นไปได้ก็ควรร่วมกันผลักดัน สู่ระบบสุขภาพบำนาญประชาชนแห่งชาติคือประชาชนทุกคนต้องมีหลักประกันโดยการเปลี่ยนเบี้ยยังชีพ มาเป็นระบบหลักประกันนักการเมืองต้องเลิกเอาประชาชนเป็นตัวประกัน
ขณะที่ "นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์มองเรื่องของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเป็นเรื่องระบบสวัสดิการ เป็นเรื่องของสิทธิขั้นพื้นฐานไม่ต้องเป็นห่วงว่านโยบายลักษณะเช่นนี้จะเป็นประชานิยมหรือไม่ แต่กรณีปัญหาของกลุ่มชายขอบ หรือคนบางกลุ่มตกหล่นไปก็ควรจะต้องให้สิทธิกับคนเหล่านั้น ส่วนประเด็นที่พรรคประชาธิปัตมองว่าเป็นความท้าทายในอนาคตนั้น 1.ก็คือปัญหาการเงิน การคลัง ซึ่งยังคงมีปัญหาปีแล้วปีเล่า ที่ยังไม่สามารถเป็นไปตามความจำเป็น งั้นการปรับปรุงกติกาการจัดสรรงบประมาณนี้จึงเป็นเรื่องที่จำเป็น ส่วน ส่วนประเด็นเรื่องการรวมกองทุนนั้นพรรคประชาธิปัตย์มองต่างไปว่า อย่างคนที่ใช้สิทธิ์ประกันสังคมเหมือนต้องเสีย 2 ต่อคือเสียทั้งภาษีเพื่อมาดูแลระบบประกันสุขภาพของทุกๆคนอยู่แล้ว และยังต้องเสียเงินเข้าสมทบกองทุนประกันสังคมด้วย
ดังนั้นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์อยากนำเสนอก็คือ เราควรจะเปิดโอกาสให้คนในระบบกองทุนประกันสังคมตัดสินใจว่าเขายังอยากในระบบนี้ต่อไปหรือไม่ถ้าเขาไม่อยากจะเสียเงินสมทบเข้ากองทุนก็ให้เขามีสิทธิ์ที่จะออกมาเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้แต่ถ้าเขาก็ยังอยากที่จะอยู่ในระบบกองทุนประกันสังคมต่อด้วยก็ให้เขาสมทบเงินเข้ากองทุน ขณะที่ทั้งระบบประกันสุขภาพและระบบประกันสังคมก็สามารถที่จะแข่งขันกันได้ แต่ในมาตรฐานของการรักษาพื้นฐานนั้นยังต้องเท่าเทียมกัน ส่วนระบบสิทธิราชการ คนที่เขาเข้ามารับราชการเขาก็ตัดสินใจบนเงื่อนไขที่คิดว่าเขาจะได้รับสิทธิ โดยยอมรับที่จะได้รับเงินเดือนต่ำกว่างานเอกชน เพื่อแลกกับสวัสดิการในส่วนนี้ ดังนั้น ถ้าจะไปมีการเปลี่ยนแปลง ตรงนี้ก็จะต้องไปชดเชยสิทธิเขาด้วย
ประเด็นหลักที่ต้องการย้ำคือว่า อย่ามองเพียงแค่การรวมกองทุนถ้าจะคิดว่าจะมายกระดับหรือสร้างมาตรฐาน เพราะถ้าเรายกกองทุนแล้วก็ยังไม่แน่ใจว่าคุณภาพของคนในระบบหลักจะดีขึ้นแต่ที่แน่ๆสิ่งที่หลายๆคนเคยได้จากระบบราชการก็ดีและจากระบบประกันสังคมก็ดีอาจจะเสื่อมถอยลง สิ่งที่ต้องตระหนักคือต้องหาเงินมาสนับสนุนให้เพียงพอและที่สำคัญระบบ สวัสดิการที่มาจากภาษี เราเองก็ยังไม่เคยพูดกันเลยว่าระบบภาษีนั้นเป็นธรรมหรือไม่ นี้เรามีลักษณะภาษีถดถอยค่อนข้างมาก และในแง่ของภาษีเงินได้ กลุ่มมนุษย์เงินเดือนก็ไม่ได้มีรายได้มากมายและข้าราชการส่วนใหญ่ก็อยู่ในกลุ่มนี้ ก็เสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยแต่คนที่มีรายได้จริงๆสูงจริงๆกับมีช่องโหว่ช่องว่างเยอะแยะไปหมดที่จะไม่ต้องเสียภาษีโดยได้รับสิทธิยกเว้นต่างๆ ดังนั้นตรงนี้คือโจทย์ที่พรรคประชาธิปัตย์มองว่าสำคัญในการที่จะสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำ
ส่วนกรณีของโรงพยาบาลเอกชนก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเข้าไปควบคุมเพราะว่ากฎหมายปัจจุบันอ่อนเกินไป ที่ให้เพียงแค่แจ้งค่าบริการ ซึ่งไม่เพียงพอที่สำคัญอีกแง่ก็คือการบริหารทรัพยากรในภาพรวมทั้งหมดเรามีความจำเป็นที่จะต้องมีนโยบายที่เชื่อมโยงกับเรื่องของการสร้างเสริมสุขภาพซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็สนับสนุนระบบของ สสส. , สมัชชาสุขภาพที่ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ขณะเดียวกันในช่วงที่พักประชาธิปัตย์เคยเป็นรัฐบาลเราก็มีความชัดเจนในการเคารพสิ่งที่ปรากฏในธรรมนูญสุขภาพคือการไม่ให้รัฐบาลไปสนับสนุนธุรกิจด้านการรักษาพยาบาล และสุขภาพเพราะนั่นคือตัวที่จะสร้างความเหลื่อมล้ำและดึงทรัพยากรไปจากบริการของภาครัฐ ขณะที่เรื่องคุณภาพชีวิตของคนความก้าวหน้าความเป็นอยู่ของผู้คนจะไปผูกติดอยู่กับตัวเลข GDP อีกต่อไปไม่ได้เพราะไม่ได้เป็นตัวสะท้อนที่ดีอีกต่อไป ซึ่งไม่ใช่เพียงนโยบายด้านสาธารณสุขเท่านั้นแต่นโยบายสาธารณะทุกมิติจะต้องคำนึงถึงผลกระทบสุขภาวะของผู้คน โดยให้ประชาชน มีส่วนร่วมด้วย จึงจะเป็นหลักประกันที่ดีที่สุด
ด้าน "คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์" ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย (พท.) แสดงทัศนะว่า ในโครงการหลักประกันสุขภาพ 30 บาททุกโรคยุคใหม่ ก็คือ 30 บาทสุขภาพดีถ้วนหน้า All for Health โดยมีหลักการว่าต้องปรับเปลี่ยนระบบสุขภาพ โดยยังเอาคนเป็นศูนย์กลางอยู่ แต่ผลลัพธ์ด้านสุขภาพของประชาชนก็ต้องดี คือ health care ซึ่งจะส่งผลให้ การบริหารจัดการงบประมาณมีคุณภาพด้วย โดยจะมุ่งเน้นในการสร้างคุณค่าให้เกิดกับประชาชน และการต้องปรับปรุงการบริหารการจัดการโดยกระจายอำนาจลงไปในระดับเขตระดับโรงพยาบาลมีโอกาสทำงานวางแผนร่วมกัน แล้วบริหารจัดการทรัพยากรร่วมกันช่วยกันลดโรคที่เกิดขึ้นในเขตของตน รวมทั้งการจัดสรรงบประมาณสาธารณสุขอย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ พรรคก็ยังมีนโยบายที่จะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือเหมือนกันเพราะสังคมโลกเปลี่ยนไปแล้ว โดยให้การแพทย์ในยุคนี้สามารถที่จะใช้ได้ทั้ง Big Data การใช้ AI และ mobile กับ Robot ต่างๆ ก็จะลดต้นทุนแล้วยังได้เพิ่มประสิทธิภาพทำให้การเชื่อมโยงของโรงพยาบาลใหญ่ไปที่โรงพยาบาลเล็กได้ง่ายและสะดวกขึ้น เดี๋ยวนี้ต้องแชร์ข้อมูลร่วมกัน เรื่องประโยชน์ในการแชร์ข้อมูลร่วมกันคือ ประชาชนได้ประโยชน์เช่นเมื่อเกิดอุบัติเหตุกดข้อมูลก็ทราบว่าผู้ประสบเหตุนั้นมีโรคประจำตัวหรือโรคอะไรที่รักษาอยู่ด้วยบ้าง เราจะทำให้เกิด Thailand Good Doctor โดยทุกสิ่งที่ทำจากมุ่งไปที่ประชาชน และต้องได้ก่อนป่วยคือต้องมีการแก้ไขให้คนไม่เจ็บป่วยก่อนที่จะป่วย
ขณะที่ "นายสุวิทย์ เมษินทรีย์" รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า หัวใจสำคัญที่พรรคพลังประชารัฐ มองเห็นคือการลงทุนเรื่องสุขภาพ จะไม่เป็นเรื่องของการเมืิอง ซึ่งจะต้องทำให้ต่อเนื่อง โดยเรื่องของหลักประกันสุขภาพในอนาคตต้องไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยหลักคิตตี้สำคัญคือจะทำอย่างไรให้มาสู่ Good Health นั่นคือเรื่องของการส่งเสริม-ป้องกัน-รักษา-คุ้มครอง โดย 4 ประเด็นท้าทายที่เป็นโจทย์ให้กับพรรคพลังประชารัฐคือ 1.ประชาชนได้รับสิทธ์ทั่วหน้าแล้วหรือยัง โดยใน 3 กองทุนที่พูดถึงกันก็รองรับได้ถึง 99% แต่เรื่องที่จะมีปัญหาต้องแก้บ้างก็คือเรื่องการใช้เลข 13 หลักอย่างที่มีการเสนอกันในวันนี้ 2.เมื่อได้รับสิทธิ์แล้วได้เข้าถึงสิทธิ์อย่างแท้จริงหรือไม่ เช่น เรื่องทันตกรรม 3.เมื่อเข้าถึงสิทธิ์แล้วได้รับบริการอย่างดีเพียงใด 4. บริการที่ให้ไปแล้วมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลมากน้อยเพียงใด ส่วนนี้คือเรื่องของงบประมาณ ว่าภายใต้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดเราจะทำอย่างไร
โดยพรรคประชารัฐจะนำโจทย์ทั้ง 4 ข้อมาแปลงเป็นนโยบายใน Concept ที่ว่า ปรับเปลี่ยน คือเรื่องกลไกเพื่อตอบโจทย์ความเท่าเทียมและยั่งยืน - เชื่อมโยง คือการครอบคลุมทุกระดับทุกพื้นที่ - ยกระดับ คือ ทำให้มั่นใจว่าปนะสิทธิภาพและคุณภาพนั้นได้มาตรฐาน - ขับเคลื่อน คือ หลักประกันสุขภาพที่ดีต้องทำให้มีสุขภาพที่ดีในทุกช่วงวัย โดยเรื่องของการเป็นรัตติกาลนั้นก็ถือเป็นเป้าหมายที่จะต้องไปให้ถึง ขณะที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำของ 3 กองทุนก็จะหาทางที่จะจัดระเบียบให้ 3 กองทุนเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล มากกว่านี้
ด้าน "นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ก็มองว่า เรื่องของความเหลื่อมล้ำ ส่วนหนึ่งอาจจะต้องปรับแก้ให้สิทธิบัตรทองโตเร็วขึ้น ส่วนสิทธิข้าราชการโตอัตราน้อยลง แล้วเมื่ออัตราใกล้จะไม่รู้สึกมากว่าสิทธิน้อยลงแล้วความเป็นไปได้ในการรวมกองทุนอาจทำได้ ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องหลักประกันสุขภาพพรรคอนาคตใหม่ก็เสนอไปแล้วในวันประกาศนโยบายเดือนที่ผ่านมา