ต่อมาเมื่ออาจารย์จันทร์เจ้าอาวาสวัดมรรครังสฤษดิ์ ขอเปลี่ยนชื่อจากวัดตะคร้อเป็นวัดมรรครังสฤษดิ์ แปลความหมายว่า "หนทางสู่ความสำเร็จ"
ก้าวแรกที่ผมลงจากรถเมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ รู้สึกได้ถึงความร่มเย็น เพราะมีต้นไม้ใหญ่แผ่ปกคลุมโดยรอบๆ ช่วยบังแดดถึงแม้ว่าจะเข้าสู่ฤดูร้อน สายลมก็พัดผ่านมาเป็นระยะๆอยู่เรื่อยไป เมื่อผมเดินสำรวจโดยรอบๆบริเวณ มองไปที่พระวิหารหลังเก่าของวัดก็สะดุดตา ตั้งแต่หลังคา จะประดับด้วยปูนปั้นตามแบบช่างฝีมือแบบธรรมดาๆพื้นบ้าน ไม่ได้มีความปรานีต วิจิตร งดงาม หรูหรา
เมื่อผมมองดูแล้วด้วยจินตนาการของตัวเองจะคล้ายกับพญานาคก็ไม่ใช่ ไดโนเสาร์ก็ไม่เชิง ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าคือตัวอะไร เชื่อได้ว่าหลายๆคนโดยส่วนมากจะเห็นแต่วิหารที่สวยงามประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ กระจกสีทองระยิบระยับเมื่อแสงแดดกระทบเดินดูโดยรอบๆ ซุ้มประตูและซุ้มหน้าต่าง ก็แปลกใจไม่แพ้กันจะมีพระพุทธรูปปูนปั้นประดับอยู่เหนือขอบซุ้มประตูและหน้าต่างเรียงรายโดยรอบ โดยสังเกตุได้ว่า ฝีมือการปั้นก็ยังเป็นแบบธรรมดาพื้นบ้าน ไม่ได้มีความละเอียดสวยงาม ความแปลกของพระวิหารนี้เป็นจุดเริ่มต้นทำให้ผมอยากเข้าไปสำรวจศิลปะภายในเสียเหลือเกิน
เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่พระวิหารก็เจอศิลปะปูนปั้นที่บริเวณด้านซ้ายและขวา เป็นตัวคล้ายๆพญานาคจากการเข้าใจของผม ที่เคยพบเห็นตามวัดต่างๆ จะเป็นพญานาค เมื่อเดินเข้ามาภายในพระวิหารหลังนี้ผมได้พบพระพุทธรูปองค์ใหญ่ๆที่ปั้นด้วยปูน ที่มีรูปทรงไม่สมส่วนในปางต่างๆ เช่นปางอุ้มบาตร ปางสมาธิ ปางถวายพร และปางอื่นๆ จากการสังกตุของผม ในแต่ละองค์ฝีมือการปั้นของช่างจะไม่มีความละเอียดสมสัดส่วน บางองค์หูยาว แขนลีบ ใบหน้าบิดเบี้ยว ไม่มีความสง่างาม มองไปรอบๆภายในพระวิหาร โครงสร้างยังเห็นเสาไม้ขนาดใหญ่ไม่ได้ผ่านการขัดแต่งผิวไม้ให้เรียบ ยังคงเห็นความบิดเบี้ยวของโครงไม้ แต่ถ้าคิดไปอีกแบบหนึ่งว่า พระพุทธรูป ที่ได้สร้างขึ้นมา แฝงด้วยคติธรรมไว้ ว่า จงอย่ามองรูปลักษณ์ภายนอกอันสวยงาม มันเป็นเพียงเปลือกนอก จง พิจารณา มองให้ลึกกว่านั้น หาเหตุและผล ที่มา ที่ไป ประกอบการตัดสินใจ รวมถึงจิตรกรรมฝาผนังที่มีทั้งรูปไดโนเสาร์ นกยักษ์ หรือแม้กระทั่งหน้าบันด้านนอก เกินกว่าจะตีความหมายได้ ว่าเป็นงานศิลปะยุคไหน
รองเจ้าอาวาสเล่าความเป็นมาให้ฟังว่า วิหารหลังนี้สร้างจากการปั้นมือของหลวงพ่อริ้ว กุสลจิตโต อดีตเจ้าอาวาสคนแรก กับน้องชายของท่าน ประมาณได้ว่ามากว่า 60-100 ปีแล้ว โดยหลวงพ่อริ้วได้ตั้งใจสร้างวิหารนี้ให้เป็นพระอุโบสถ แต่ทางการไม่อนุญาตจนต้องสร้างพระอุโบสถตามแบบมาตราฐาน หลวงพ่อสร้างจากความตั้งใจและจินตนาการ แม้แต่รองเจ้าอาวาสเองก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่า ศิลปะทั้งหมดสื่อถึงอะไร แต่เรื่องราวคงหนีไม่พ้นเรื่องพุทธศาสนา
เมื่อก่อนวิหารนี้ เป็นปูนสีขาวดูน่ากลัวเด็กๆไม่กล้าเข้าใกล้ ตอนนี้วิหารถูกทาสีดูเหมือนงานศิลปะ จนกลายเป็นวัดที่ชาวบ้านเคารพศรัทธาเป็นศูนย์รวมใจ วิหารหลังนี้ ได้สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาและภูมิปัญญาท้องถิ่นตามจิตนาการของชาวบ้านล้วนๆ ไม่ได้มีการออกแบบทางสถาปัตยกรรมอันสวยงาม ไม่ว่า จะเป็นพระพุทธรูป ที่ให้ชาวบ้านละแวกนั้นกราบไหว้ อดีตท่านเจ้าอาวาส ได้ใช้จิตอัน บริสุทธิ์ สร้างจนสำเร็จ นอกจากความแปลกของวิหารแล้ว วัตถุมงคลของท่านมีความเชื่อในเรื่องแคล้วคลาด คงกระพัน อีกด้วย