การเข้ามาของอดีตส.ส.บิ๊กเนมพรรคเพื่อไทยจากภาคอีสานสู่ "พลังประชารัฐ" สะท้อนชัดถึงยุทธศาสตร์ของพรรคที่ต้องการปักหมุด ยึดพื้นที่จาก "พรรคตระกูลเพื่อ" อย่างแท้จริง สอดรับกับคำให้สัมภาษณ์ของเลขาธิการพรรค "สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" ว่าพรรคต้องการสร้างความยึดโยงกับประชาชน ก็แน่นอนว่าต้องมีตัวเชื่อมโยงผ่านส.ส. โดยมีนโยบายพรรคเป็นสิ่งจูงใจ
แม้ขณะนี้ "คสช." ยังไม่เลิกกฎเหล็กห้ามพรรคการเมือง-นักการเมือง เคลื่อนไหว แต่ในความเป็นจริงเมื่อลงไปดูแต่ละพื้นที่ "นักการเมือง" ไม่ได้จำศีลหรือยำเกรงอะไร หนำซ้ำยังเดินหน้าลงพื้นที่เกาะติดมวลชน เลี้ยงกระแสกันมาตลอด ถึงขนาดว่าหลายจังหวัดใหญ่ๆ ในอีสาน "ว่าที่ผู้สมัครส.ส." ในนาม "พลังประชารัฐ" ต่างส่งทีมงานลุยพบปะชาวบ้าน เพื่อเช็กกระแสตอบรับว่าเป็นอย่างไร ชื่นชอบนโยบายรัฐบาลที่ประเคนลงไปมากน้อยแค่ไหน จากนั้นในแต่ละวันหัวหน้าทีมหรือแกนนำจะเรียกตรวจการบ้านกันทุกวัน!!!
จึงไม่แปลกในวันที่อดีตส.ส.สายอีสาน พาเหรดเข้ามาสมัครสมาชิก "พลังประชารัฐ" หลายคนถึงให้สัมภาษณ์ในทำนองไม่ได้โม้ว่า "จะชนะเลือกตั้งกวาดส.ส.ยกจังหวัด!!!" นั่นเพราะความได้เปรียบตรงที่ต่างคนต่างตัดสินใจถึงอนาคตของตัวเองว่าจะไปอยู่กับใครได้เร็ว จึงมีเวลาเตรียมตัวอธิบายคนในพื้นที่ให้เข้าใจมากกว่าใครเพื่อน แถมโครงการต่างๆ ของ "รัฐบาล" ที่ขับเคลื่อนลงไปมันถึงมือประชาชน แม้จะไม่ได้มากมายจนสะใจ แต่ความต่อเนื่องแบบได้น้อยๆ แต่ได้นานๆ นั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันสร้างความคุ้นชิน กระทั่งบางคนอาจรู้สึกไม่มั่นใจว่า ถ้ารัฐบาลเปลี่ยนสิ่งที่เคยได้จะยังคงได้ต่อไปอีกหรือไม่
ตรงนี้อาจเป็นหนึ่งในตัวแปรที่มีผลต่อกระแส "พลังประชารัฐ" ไม่มากก็น้อย ซึ่งค่อนข้างแน่นอนว่า "บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ" พรรคนี้ยังไงก็ทำต่อ
โดยระหว่าง 12-13 ธันวาคมนี้ "ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.จะลงพื้นที่และประชุมครม.สัญจร ที่ "บึงกาฬ-หนองคาย" เป็นเที่ยวสุดท้ายของปี และ 2 พื้นที่นี้ "พลังประชารัฐ" ก็จ้องตาเป็นมันหวังยึดหัวหาดเมืองริมโขงให้ได้ แว่วว่า ว่าที่ตัวผู้สมัครไม่ใช่ใครที่ไหนคือ "นายกอบจ.หนองคาย และนายกอบจ.บึงกาฬ" นั่นเอง
นอกจากพื้นที่ในอีสานที่ "พลังประชารัฐ" โฟกัสแล้ว ภาคเหนือและกทม. พลังประชารัฐดูจะหมายมั่นปั้นมือหวังช่วงชิงพื้นที่ของ "เพื่อไทย" ให้ได้ โดยพื้นที่กทม.รอบนอกซึ่งคนของ "เพื่อไทย" ปักหมุดยึดพื้นที่อย่างเหนียวแน่น
"ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ" รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่รับหน้าที่คุมยุทธศาสตร์กทม. ตั้งเป้าตัวเลขส.ส. 5-6 ที่นั่งก็ถือว่าน่าพอใจ เเละยอมรับเองว่าพื้นที่ชั้นในกทม. "ประชาธิปัตย์" แข็งโป๊ก!! ฉะนั้นพื้นที่ที่เหมาะจะต่อกรจึงเป็น "กทม.ชั้นนอก" และ "พลังประชารัฐ" ได้มือดีของ "เพื่อไทย" มาร่วมทีมแล้วด้วยกลยุทธ์แตกแบงคก์พันของ "เพื่อไทย" จะรับมือศึก 2 ด้าน จาก "พลังประชารัฐ" และประชาธิปัตย์" อย่างไร
ส่วนพื้นที่ภาคเหนือแม้ "พลังประชารัฐ" จะเสียเปรียบ "เพื่อไทย" และ "พรรคตระกูลเพื่อ" หลายขุม แต่การได้ "รัตนา จงสุทธานามณี" อดีตส.ส.และอดีตนายกอบจ.เชียงราย มาขับเคี่ยวกับ "ตระกูลติยะไพรัช" ก็ดูจะมีโอกาสอยู่ไม่น้อย ส่วนที่ "พะเยา" ขาใหญ่อย่าง "ผู้กองมนัส" ร.อ.ธรรมมนัส พรหมเผ่า อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ เพื่อไทยที่ย้ายมาอยู่ "พลังประชารัฐ" คุมพื้นที่พะเยา ก็ดูจะมีโอกาสไม่น้อยแม้เจ้าตัวจะไม่ลงส.ส.เขต แต่ก็ได้จัดวางตัวผู้สมัครเอาไว้หมดแล้ว
ทุกสรรพกำลังของ "พลังประชารัฐ" เวลานี้ เรียกว่าพร้อมแล้ว รอแค่ถึงเวลาเปิดหน้าสู้ศึกเท่านั้น และอีกปัจจัยที่ส่งให้พรรคนี้เดินมาถึงวันนี้ได้ คือการอยู่ในอำนาจของ "รัฐบาลคสช." ที่กำลังเข้าปีที่ 5 เริ่มเห็นผล และนั่นก็นานพอจะทำให้คู่ต่อกรอย่าง "เพื่อไทย" และเครือข่าย อ่อนยวบแบบสะสมมาเรื่อยๆ แกนนำหลายคนโดนบล็อก มีทหารเฝ้าหน้าบ้านกันจนซี้พูดง่ายๆ ว่า ยิ่ง "รัฐบาลคสช." อยู่นาน "เพื่อไทย" ยิ่งกรอบ "พลังประชารัฐ" ได้เปรียบ
กระแสที่เคยแรงในอีสานอาจไม่ช่วยอะไรอีกต่อไป เมื่อคนเป็นผู้แทนหรือเคยเป็นผู้แทนทิ้งพื้นที่ แถมท่อน้ำเลี้ยงไหลไม่เต็มก๊อกด้วยแล้ว ไม่แน่ว่าอีสานเที่ยวนี้ อะไรๆ อาจพลิกผันเปลี่ยนฝั่งเปลี่ยนข้างขึ้นมาก็ได้