svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

นักเศรษฐศาสตร์มองเศรษฐกิจสหรัฐในยุคทรัมป์จะทรุดฮวบในปีหน้า

22 พฤศจิกายน 2561
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

นักเศรษฐศาสตร์มองเศรษฐกิจสหรัฐในยุคทรัมป์จะทรุดฮวบในปีหน้า ก่อนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2020 จากการสำรวจของ CNBC ในกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ 10 รายรวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์ของเฟดยังคงคาดการณ์ว่า จีดีพีสหรัฐจะขยายตัวโดยเฉลี่ยทั้งปีที่ 2.4% สำหรับปี 2019

ส่วนมุมมองต่อการลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท หลังจากที่ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐแทบจะไม่ได้สร้างผลตอบแทนการลงทุนตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ หลังจากร่วงลง 9% นับตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็มีการคาดการณ์ว่า 40% ของหุ้นที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดแห่งนี้ จะปรับตัวลดลงอย่างน้อย 20% ซึ่งก็จะทำให้ภาวะซื้อขายหุ้นกลายเป็นตลาดหมี1. นักเศรษฐศาสตร์มองเศรษฐกิจสหรัฐในยุคทรัมป์จะทรุดฮวบในปีหน้า ก่อนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2020 หลังจากที่เศรษฐกิจถูกกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็วในปี 2018 จากมาตรการลดภาษีที่ทำให้รัฐบาลขาดรายได้ไป 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งแต่ต้นปีมานี้

แต่จะส่งผลที่แผ่วลงต่อเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2019 และภายหลังจากนั้นภาวะเศรษฐกิจก็จะเริ่มชะลอตัวลง โดยมีอัตราการขยายตัวของจีดีพีที่ 2.0% ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นโพลล์แสดงมุมมองของ 13 นักเศรษฐศาสตร์จากผลสำรวจของ CNBC ล่าสุด

อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ในกลุ่มนี้แม้จะเริ่มมองเห็นสัญญาณการชะลอตัวในปีหน้า แต่จะไม่เห็นสัญญาณเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะถดถอยจนกว่าจะถึงปี 2020



2. ทั้งนี้ 3 ปัจจัยสำคัญที่กดดันให้เศรษฐกิจสหรัฐมีการชะลอตัวนั้นคือ หนึ่ง มาตรการลดภาษีที่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐจะเริ่มแผ่วลงในปีหน้า สอง ผลกระทบจากางครามการค้าและมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น และสาม นโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ในกลุ่มดังกล่าวยังมองว่า ผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และปัญหาสงครามการค้า ทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลว่า จะยังส่งผลกระทบกับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป



3. จากการสำรวจของ CNBC ในกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ 10 รายรวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์ของเฟดยังคงคาดการณ์ว่า จีดีพีสหรัฐจะขยายตัวโดยเฉลี่ยทั้งปีที่ 2.4% สำหรับปี 2019
โดยความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์จากเฟดนี้ สอดคล้องกับการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดการณ์ว่า จีดีพีสหรัฐจะขยายตัวที่ 2.5% ในปีหน้า ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงนั้น มาจากการที่ต้นทุนการผลิตสินค้าในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นจากปัญหาสงครามการค้านั่นเอง รวมทั้งเฟดมีการขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้เดิม



4. ส่วนมุมมองต่อการลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท หลังจากที่ดัชนี S&P 500 ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐแทบจะไม่ได้สร้างผลตอบแทนการลงทุนตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้

หลังจากร่วงลง 9% นับตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็มีการคาดการณ์ว่า 40% ของหุ้นที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดแห่งนี้ จะปรับตัวลดลงอย่างน้อย 20% ซึ่งก็จะทำให้ภาวะซื้อขายหุ้นกลายเป็นตลาดหมี


5. ทั้งนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังคงมีทิศทางทรงตัว โดยดาวโจนส์ปิดที่ 24,464 ลดลง 0.95 จุด หรือ 0.00% หลังจากดิ่งลงในวันจันทร์และอังคารเกือบ 1,000 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,649 กลับมาทรงตัวบวกที่ 2,649 เพิ่มขึ้น 8.04 จุด หรือ 0.3% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,972 เพิ่มขึ้น 63.43 จุด หรือ 0.92%

ภาพของการลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปัจจุบัน อาจจะกำลังสะท้อนเป็นความอ่อนไหวของตลาดที่กังวลว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ จนส่งผลให้ภาวะตลาดกระทิงได้จบลงแล้ว ทำให้เกิดแรงเทขายออกมาอย่างหนักอีกระลอกใหญ่ นับตั้งแต่เดือนตุลาคมจนถึงต้นสัปดาห์นี้ แต่ก็มีนักลงทุนบางส่วนกลับเข้ามาช้อนซื้อหุ้น ท่ามกลางความผันผวน และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นสำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท

logoline