หลายคนอาจมองว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาราเยวัช คุมทีมเจอกับทีมที่มีคุณภาพเหนือกว่าเราหรือฟีฟ่าแร๊งค์กิ้งสูงกว่าทำให้ไทยต้องเล่นแบบรับแล้วโต้ และผลงานก็ออกมาเป็นที่หน้าพอใจซึ่งแตกต่างจากยุคโค้ชซิโก้ ที่ไทยจะเปิดหน้าแลกเล่นเกมบุกสู้จนแพ้ไม่เป็นท่าในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกรอบสุดท้ายโซนเอเชียจนทำให้โค้ชซิโก้
กระเด็นออกจากตำแหน่งเฮดโค้ชช้างศึกนับเป็นโจทย์ที่ราเยวัชต้องตอบให้ได้ว่าเมื่อเจอทีมในระดับใกล้เคียงกันหรือต่ำกว่าจะเล่นเกมบุกเต็มที่ไหมหรือจะคงสไตล์การเล่นแบบนี้ไว้
ท่าทีของ "บิ๊กอ๊อด" พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยแสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่ารายการชิงแชมป์อาเซียนที่จะถึงนี้ ไม่ใช่รายการที่เป็นตัวชี้วัดราเยวัช แต่เป้าหมายของสมาคมจริงๆอยู่ที่ศึกเอเชียน คัพ 2019 ในต้นปีหน้าที่จะชี้ชะตา ราเยวัช แต่ในอาเซียนอย่างๆน้อยก็ต้องเข้าชิงนั่นหมายความว่าถ้าไทยชวดแชมป์อาเซียนราเยวัช อาจโดนหมายหัวแต่ยังไม่ออกต้องมาชี้วัดที่เอเชียนคัพ อีกรอบ แต่ถ้าป้องกันแชมป์ได้ อย่างน้อยก็ทำให้เก้าอี้ของราเยวัชเย็นลงแล้วค่อยไปลุ้นในเอเชียน คัพอีกทีซึ่งเป้าหมายของสมาคมฟุตบอลคือต้องผ่านรอบแบ่งกลุ่มให้ได้ ถึงจะสอบผ่าน
ด้านนักเตะที่ราเยวัช เลือกใช้ในรายการเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ แน่นอนว่าจะไม่มีนักเตะที่ไปค้าแข้งยังต่างแดนอย่าง ธีรธรบุญมาทัน , ธีรศิลป์ แดงดา , ชนาธิป สรงกระสินธุ์ และ กวินธรรมสัจจานันท์ รวมถึง สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ที่อำลาทีมชาติไปแล้วทำให้ราเยวัชเรียกแข้งหน้าใหม่ มาติดทีมชาติกันหลายคน ทั้ง ปกรณ์ เปรมภักดิ์ , ศุภชัย ใจเด็ด , สุมัญญา ปุณริสาย , สรานนท์ อนุอินทร์ และ มานูเอล ทอมเบียร์ ต่างมีชื่อในชุดนี้นับเป็นการได้เห็นฝีเท้าของแข้งหน้าใหม่ที่พาเหรดกันมาติดทีมชุดนี้
1 ทุ่มวันนี้ ไทยจะลงสนามนัดแรก ซัดกับติมอร์เลสเต มันคือก้าวแรก ที่จะพิสูจน์ฝีมือของ ราเยวัช ถือเป็นการอุ่นเครื่อง ก่อนถึงศึกใหญ่อย่างเอเชียน คัพ