ดาวโจนส์-S&P 500 พุ่งทำนิวไฮ ทะลุระดับ 26,656 และ 2,930

ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนประเมินผลกระทบสหรัฐเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากจีนส่งผลกระทบ 6 ธุรกิจและทำลายห่วงโซ่อุปทานโลก


1. ดาวโจนส์-S&P 500 ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทปิดทะยานขึ้นทำนิวไฮเมื่อคืนวันพฤหัสฯ จากแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมที่พุ่งขึ้นหลังจากนักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนซึ่งต่างก็เรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่ไม่สูงเท่ากับที่ตลาดคาดการณ์ไว้

โดยดาวโจนส์ปิดที่ 26,656 พุ่งขึ้น 251 จุด หรือ 0.95% ซึ่งเป็นสถิตินิวไฮครั้งใหม่ นับตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม ที่เคยแตะระดับ 26.626 ขณะที่ S&P 500 ปิดที่ 2,930 เพิ่มขึ้น 0.78% ทำนิวไฮใหม่นับตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคมอยู่ที่ 2,926 และ Nasdaq ปิดที่ 8,028 เพิ่มขึ้น 0.98% แต่ยังไม่ผ่านจุดนิวไฮที่ยืนเหนือ 8,100 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม



2. ในการทะยานขึ้นของหุ้นวอลล์สตรีทล่าสุด ตลาดยังได้ขานรับคำพูดเจมี ไดมอน ซีอีโอของ JPMorgan Chase ที่กล่าวถึงความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเป็นเพียงการทะเลาะกันทางการค้า ไม่ใช่การทำสงครามการค้า

นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการแถลงตัวเลขของกระทรวงแรงงานสหรัฐ ที่ระบุถึงชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 49 ปีนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 1969 โดยลดลงจำนวน 3,000 ราย สู่ระดับ 201,000 ราย



3. กระทรวงพาณิชย์จีน เปิดเผยว่า รัฐบาลจีนกำลังประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการที่สหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์

นับจนถึงขณะนี้ ชี้ว่าผลผลิตในภาคธุรกิจ 6 ประเภท ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องกลไฟฟ้า อุตสาหกรรมผลิตหลอดไฟ สิ่งทอและเสื้อผ้า เคมีภัณฑ์ ผลิตผลทางด้านการเกษตร และยา รวมถึงธุรกิจต่างชาติเข้าลงทุนในตลาดภายในประเทศของจีนด้วย รวมมีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งที่มีแนวโน้มว่า จะได้รับผลกระทบในครั้งนี้



4. โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีน เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า การดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าแต่เพียงฝ่ายเดียวของสหรัฐ ไม่เพียงแต่จะทำลายผลประโยชน์ของภาคธุรกิจและผู้บริโภคของทั้งสหรัฐและจีน แต่ยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกด้วย

ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ทวีตข้อความที่ระบุว่า ดัชนี S&P 500 พุ่งทำสถิติสูงสุดตลอดกาล จึงขอแสดงความยินดีต่อสหรัฐ



5. สื่อสหรัฐอ้างแหล่งข่าวที่ระบุว่า ทีมงานของประธานาธิบดี ทรัมป์ ยังไม่ได้พิจารณาให้บริษัทสัญชาติอเมริกันเริษัทใดว่า ควรจะได้รับการยกเว้นจากการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ เหมือนกับที่เคยดำเนินการมาแล้วในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนครั้งก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ บริษัทต่างๆ ยังมีเวลา 3 เดือนในการย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีน ก่อนที่การเรียกเก็บภาษี 25% จะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคมปีหน้า

มาตรการล่าสุดเปิดขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ ในอัตรา 10% ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 24 กันยายน และจากนั้นจะเพิ่มเป็น 25% ตั้งแต่ต้นปี 2019