ทรัมป์โจมตีจีน-ยุโรปจงใจปั่นค่าเงินหยวนและยูโรอีก

กรีซออกจากโปรแกรมโครงการเงินกู้ช่วยเหลือ ESM หลังเข้าโปรแกรมรัดเข็มขัดเพื่อปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจในการกอบกู้ประเทศให้พ้นจากวิกฤติหนี้สาธารณะตลอดช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา  และจะสามารถกลับเข้าไประดมทุนหรือกู้ยืมในตลาดการเงินได้อีกครั้งในวันนี้ 


1. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวโจมตีจีนและสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของสหรัฐ จงใจปั่นค่าเงินเพื่อหวังผลด้านการแข่งขันทางการค้า ซึ่งการกล่าวโจมตีครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เนื่องจากเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีการโจมตีจีนและยุโรปว่าทำการปั่นค่าเงินมาแล้วครั้งหนึ่ง 
ถึงแม้ว่า จากรายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐไม่ได้ระบุว่ามีประเทศใดที่มีพฤติกรรมจงใจปั่นค่าเงินก็ตาม แต่จีนยังคงถูกขึ้นบัญชีในฐานะประเทศที่ถูกจับตามอง ต่อพฤติกรรมการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับค่าเงิน และเศรษฐกิจมหภาค

2. พร้อมกันนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ยังระบุว่า การที่เงินดอลลาร์แข็งค่านั้น ทำให้สหรัฐต้องสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก โดยได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ว่าควรเข้ามาช่วยเหลือรัฐบาลในเรื่องข้อพิพาททางการค้ากับจีน EU และชาติอื่นๆ เหมือนกับที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆให้ความช่วยเหลือประเทศของตนเอง
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังได้บอกกับเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด เกี่ยวกับนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ควรจะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน และไม่ดำเนินการอย่างเข้มงวดจนเกินไปในช่วงจังหวะที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยที่เฟดยังคงส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ และอีก 3 ครั้งในปี 2019

3. สำหรับการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์เริ่มมีทิศทางที่อ่อนค่าลง โดยแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนในเวลาสั้นๆ ที่ 109 เยน ที่ตลาดค้าเงินโตเกียวเช้านี้ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ประธานเฟด เกี่ยวกับนโยบายปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
แต่เมื่อถึงเที่ยงวัน ดอลลาร์เด้งตัวกลับมาเคลื่อนไหวที่ระดับ 110 เยน เทียบกับ 110.61-110.62 เยนเมื่อวันจันทร์โดยที่นักลงทุนขายเงินเยนซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และหันมาซื้อดอลลาร์แทน ส่วนเงินยูโรเคลื่อนไหวเช้านี้ที่ 1.1520-1.1521 ดอลลาร์ เทียบกับ 1.1476-1.1486 ดอลลาร์วานนี้
 ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) จะเปิดเผยรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม-1 สิงหาคม ในวันพุธนี้

4. กรีซออกจากโปรแกรมโครงการเงินกู้ช่วยเหลือ ESM หลังเข้าโปรแกรมรัดเข็มขัดเพื่อปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจในการกอบกู้ประเทศให้พ้นจากวิกฤติหนี้สาธารณะตลอดช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา  
ทั้งนี้ กรีซจะสามารถกลับเข้าไประดมทุนหรือกู้ยืมในตลาดการเงินได้ในวันนี้ หลังจากที่ได้เข้าโปรแกรมของ ESM เป็นเวลา 3 ปี และใช้เงินกู้แล้ว 61,000 ล้านยูโร และยังมีวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีก 24,000 ล้านยูโร

5. กรีซได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รวมทั้งเงินช่วยเหลือจากกองทุนกลไกรักษาเสถียรภาพยุโรป (ESM) ทำให้วงเงินกู้ทั้งหมดที่กรีซได้รับนั้นเป็นจำนวนมากกว่า 260,000 ล้านยูโร นับเป็นเงินช่วยเหลือที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเงินโลก
นอกเหนือจากกรีซแล้ว ประเทศที่ได้รับเงินช่วยเหลือทางการเงิน เนื่องจากเกิดวิกฤติหนี้สาธารณะ รวมทั้งวิกฤติการเงินการธนาคารของประเทศ เช่น ไอร์แลนด์ โปรตุเกส สเปน และไซปรัส