ที่ต้องให้ความสนใจกับเรื่องนี้เพราะ "ปฏิกิริยา" ที่ดุดันของ "สุเทพ" ต่อเรื่องนี้
"ผมขอเรียกร้องให้ ป.ป.ช.รีบสรุปคดีนี้ส่งฟ้องศาล เพื่อผมจะได้ไปต่อสู้คดีในศาล ดีกว่ามาดองเค็มผมอย่างนี้ ทำให้เกิดความเสียหาย โดยเฉพาะขณะที่ผมเป็นผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย การทำให้เรื่องนี้ยืดยาวไปทำให้ผมเกิดความสงสัยว่านี่เป็นการเตะตัดขากันหรือเปล่า เป็นการทำลายคะแนนนิยมทางการเมืองของพรรคการเมืองที่ผมและผู้ร่วมอุดมการณ์กำลังจัดตั้งหรือเปล่า เรื่องนี้เดิมพันสูง ถ้าผมผิดเอาชีวิตผมไปเลย แต่ถ้ากรรมการ ป.ป.ช.ไม่สามารถนำคดีส่งศาล ไม่สามารถลงโทษผมได้ ป.ป.ช.ต้องพิจารณาตัวเองว่ายังเหมาะสมที่จะทำหน้าที่องค์กรอิสระเพื่อปราบปรามการทุจริตต่อไปหรือไม่"
เป็นถ้อยคำที่ดุดันของสุเทพ หลังจากแสดงท่าทีไม่พอใจการทำงานของป.ป.ช. ที่ไม่สรุปเรื่องนี้ซะที ปล่อยให้เรื่องนี้ย้อนกลับมาทิ่มแทงเขาอยู่หลายครั้งหลายครา
สุเทพประกาศว่าเขาจะนำข้อมูลหลักฐานมาแสดงต่อประชาชนผ่านการถ่ายทอดสด (ไลฟ์) ทางเฟซบุ๊กของเขา
ทั้งคำว่า"ดองเค็ม"และ"เตะตัดขา"ที่สุเทพพูดออกมา สะท้อนความไม่พอใจอย่างมากต่อ ป.ป.ช.
ทำไมสุเทพต้อง "ควันออกหู" ขนาดนั้น??
ก็อย่างที่สุเทพบอก ตอนนี้เขาคือผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย เพื่อเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง การมีเรื่องนี้ออกมาย่อมกระทบกับคะแนนนิยมแน่
และต้องไม่ลืมว่าตอนนี้ "สุเทพ" อยู่ในภาพของ"ลุงกำนัน...นักการเมืองน้ำดี"การมีเรื่องนี้มาสะกิดย่อมไม่เป็นผลดี โดยเฉพาะในห้วงที่ "กระแสลบ" ที่มีต่อ "สุเทพ" เพราะถูกมองว่า "ตระบัดสัตย์" ก็ใช่ว่าจะหมดไปซะทีเดียว
ความจริงเรื่องนี้ไม่น่าจะเป็นความตั้งใจของใครที่จะให้ตูมตามขึ้นมา รวมทั้งไม่น่าจะเป็นความตั้งใจของป.ป.ช.ที่จะทิ้งบอมบ์ออกมาด้วย
แต่ที่เป็นเรื่องขึ้นมาเพราะนักข่าวไปสอบถามความคืบหน้าของคดีต่อป.ป.ช. เพราะต้องยอมรับว่า ถ้าไม่มีประเด็นใหม่ๆ นักข่าวก็ต้องสอบถามหาความคืบหน้าคดีเดิมๆอยู่เรื่อยๆ และบังเอิญว่าหวยออกที่คดีสุเทพ ซึ่งสุเทพเองก็มีนัดที่จะเข้าให้ข้อมูลต่อป.ป.ช.ในวันจันทร์นี้ด้วย (20 ส.ค.)
และก็ต้องบอกว่าที่ทำให้ให้เรื่องนี้ตูมตามอีกอย่างก็เพราะบางสื่อก็สับสนกับเรื่องนี้ คิดว่าการที่ ป.ป.ช.ตั้งข้อกล่าวหากับสุเทพ เป็นเรื่องใหม่ ทั้งที่ความจริง ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหานี้กับสุเทพไปตั้งแต่ 14 พฤษภาคม 2558 ตั้งแต่ตอนที่เขาบวชเป็นเพราะอยู่ที่วัดสวนโมกข์ และตอนหลังมีการแจ้งข้อกล่าวหากับคนอื่นเพิ่ม รวมทั้งหมดเป็น 17 คน
สุเทพ นำเอกสารที่เขาถูกกล่าวหาเรื่องการเปลี่ยนการจัดซื้อจัดจ้างจากแยกเป็นรายภาค 9 สัญญา มาเป็นรวมสัญญาเดียวที่ส่วนกลางมาชี้แจง โดยระบุว่าเป็นการอนุมัติไปตามข้อเสนอของทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีการเสนอเรื่องนี้มา3 ครั้ง โดย ผบ.ตร. 3 คน"ครั้งแรกเมื่อ 29 พฤษภาคม2552 เสนอโดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เสนอโครงการสร้างโรงพักทดแทนมา
พร้อมแนวทางจัดซื้อจัดจ้าง 4 แนวทาง แต่มีการเสนอว่าควรเป็นแบบแยกสัญญา 9 สัญญา ผมก็เซ็นอนุมัติไปตามนั้น ต่อมาพล.ต.อ.ประทีป ตันประเสริฐ รักษาการ ผบ.ตร. ทำจดหมายมาใหม่เมื่อ 18 มิถุนายน 2552 เสนอมาว่าการแยกป็น 9 สัญญาจะมีปัญหาขัดวิธีงบประมาณ จึงเสนอให้รวมเป็นสัญญาเดียว ผมก็อนุมัติไป ต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2553 พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ขออนุมัติทำสัญญาก่อสร้างหลังมีการประกวดราคาถูกต้อง ผมก็อนุมัติไป
ผมไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาจะก่อสร้างไม่เสร็จ และต่อมารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้อนุญาตให้มีการขยายเวลาก่อสร้างไปอีกถึง 3 ครั้ง จนในที่สุดบอกเลิกสัญญาไป"
อีกถ้อยคำของสุเทพ ที่สะท้อนความไม่พอใจต่อ ป.ป.ช. คือ"ผมอดทนต่อเรื่องนี้มา 7 ปี หวังว่าเมื่อเรื่องนี้ไปถึง ป.ป.ช. จะทำความจริงให้ปรากฏ ผมให้ความร่วมมือต่อป.ป.ช. ด้วยดีมาตลอด เมื่อ ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาผมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2558 ผมยังเป็นพระอยู่ที่สวนโมกข์ ก็จัดการเย็บเอกสารเป็นเล่มส่งให้ ป.ป.ช. คิดว่าสมบูรณ์แล้ว และเรื่องไม่มีความซับซ้อน สมควรที่ ป.ป.ช.จะตัดสินได้ แต่กลับไม่เป็นอย่างคาด ทำให้ผมสงสัยว่าอนุกรรมการไต่สวนของ ป.ป.ช.มีอคติกับผม ตั้งธงเอาไว้ว่าจะเอาผมเข้าคุก ลงโทษให้ได้...ถ้าอนุกรรมการไม่มีอคติ ก็ไม่ยากที่จะวินิจฉัยโดยไม่ต้องใช้เวลาหลายปี"
ทั้งนี้สำหรับคดีก่อสร้างโรงพักทดแทนนี้ ในช่วงแรกมี"วิชา มหาคุณ"อดีตกรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน แต่ต่อมาในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 สุเทพได้ยื่นหนังสือถึง "พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ" ประธาน ป.ป.ช. เพื่อขอความเป็นธรรมให้เปลี่ยนคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ โดยระบุว่า นายวิชามีอคติ
เนื่องจากเคยแสดงความไม่พอใจต่อนายสุเทพ กรณีที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) สมัยที่นายสุเทพเป็นประธานเคยมีมติให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.กลับเข้ารับราชการ สวนทางมติ ป.ป.ช.สมัยที่นายวิชาเป็นกรรมการ ที่ได้ชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรงต่อ พล.ต.อ.พัชรวาท กรณีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551และให้ปลด พล.ต.อ.พัชรวาท ออกจากราชการ
ต่อมาที่ประชุมป.ป.ช.ได้มีการยกเลิกคณะอนุกรรมการไต่สวนที่นายวิชาเป็นประธาน และเปลี่ยนไปใช้กรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่เต็มคณะเป็นผู้ไต่สวน ตามหนังสือขอความเป็นธรรมของนายสุเทพ
เคยมีการนำกรณีของสุเทพไปเปรียบเทียบกับกรณีของ "อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ด้วยซ้ำ ว่า ยิ่งลักษณ์ยื่นขอเปลี่ยนตัว "สุภา ปิยะจิตติ" และ "วิชา มหาคุณ" ออกจากการเป็นอนุกรรมการไต่สวนคดีจำนำข้าวถึง 9 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจาก ป.ป.ช.
ถึงตอนนี้ สุเทพ ยังแสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่พอใจการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ขณะที่ต้องถือว่าตอนนี้เขา"อยู่ฝ่ายเดียว" กับ "ผู้มีอำนาจ"
ทำให้อดมีผู้สงสัยไม่ได้ว่า ทำไมสุเทพจึงเจอสภาพแบบนี้ มีอะไรปีนเกลียวกันหรือไม่
หรือว่า "สุเทพ" กำลังถูกเตะตัดขาจริงๆ??