นพ.ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า จากสถิติตลอดทั้งปี 2560 พบว่ามีการนำส่งผู้ป่วยเพศหญิงอายุระหว่าง 30-50 ปี ที่เจ็บป่วยฉุกเฉินจากการตั้งครรภ์ การคลอดและนรีเวช 8,410 คน คิดเป็นร้อยละ 0.53 จากผู้ป่วยฉุกเฉินทั้งหมด โดยจังหวัดที่มีผู้ป่วยฉุกเฉินมาก 5 อันดับแรก คือ นราธิวาส 478 ราย, สงขลา 471 ราย, อุบลราชธานี 338 ราย, ขอนแก่น 328 ราย และปัตตานี 289 ราย
รองเลขาธิการสพฉ. กล่าวอีกว่า สำหรับอาการฉุกเฉินระหว่างการตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะมีภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ซึ่งเกิดได้หลายสาเหตุและจะมีความรุนแรงแตกต่างกันออกไป อาทิ การตั้งครรภ์นอกมดลูก ภาวะตกเลือด และภาวะเลือดออกในช่องท้องจากการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งอาจทำให้แม่เสียเลือดมาก ถือเป็นสาเหตุทำให้เกิดการเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆ โดยอาการของการตั้งครรภ์นอกมดลูกสามารถสังเกตได้ดังนี้ จะปวดท้องข้างใดข้างหนึ่งขึ้นมาโดยฉับพลัน มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดคลำเจอก้อนที่ท้องและมีอาการอ่อนเพลียหรือหน้ามืดในขณะที่ลุกขึ้น
"การตกเลือดหรืออาจเรียกว่า เลือดตกใน คือจะมีเลือดออกจากเส้นเลือดภายในร่างกาย แต่ไม่ไหลออกมาภายนอกให้เห็นชัดเจน ซึ่งสาเหตุเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่นการฉีกขาดของอวัยวะและเส้นเลือดภายใน หรือความดันในเส้นเลือดสูง ความดันเลือดในร่างกายสูงกว่าปกติอาจทำให้เส้นเลือดบางแห่งแตก จะมีอาการ คือ ซึม ซีด เหงื่อออก ตัวเย็น ชีพจรเบาและเร็ว หายใจเร็ว" นพ.ไพโรจน์กล่าว
นพ.ไพโรจน์ กล่าวด้วยว่า ระดับความเสี่ยงของแม่ขึ้นอยู่กับอายุและการดูแลร่างกายของแม่ซึ่งตามปกติแม่ที่เริ่มมีอายุมากขึ้นจะมีภาวะเสี่ยงต่อโรคฉุกเฉินเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะแม่ที่ตั้งครรภ์และมีอายุมาก ยิ่งต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษเพราะจะยิ่งมีความเสี่ยง ส่วนการปฐมพยาบาลผู้ที่มีภาวะตกเลือดจะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ต้องรีบโทรแจ้งสายด่วน 1669 นำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด และระหว่างนั้นต้องให้ผู้ป่วยนอนนิ่งๆ ให้ศีรษะต่ำกว่า โดยยกปลายเท้าให้สูงเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองและป้องกันอาการช็อก ห่มผ้าให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย คอยสังเกตชีพจร การหายใจตลอดเวลา ถ้าหยุดหายใจต้องรีบช่วยหายใจทันที