svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เจาะประเด็นร้อน

ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ

07 สิงหาคม 2561
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เมื่อพูดถึงความเป็นประชาธิปไตย หลายท่านมักจะคิดถึงระบอบการเมือง การปกครอง ที่ประเทศต้องมีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นแม่บท และเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศบังคับใช้ โดยที่ขาดไม่ได้คือต้องมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง อันเป็นรูปแบบทางการเมืองที่ประชาชนคุ้นเคย ส่วนใหญ่ก็คิดถึงเพียงประเด็นความเป็นประชาธิปไตยทางการเมือง และสิทธิ เสรีภาพ การแสดงความคิดเห็นของประชาชนเท่านั้น จนบางครั้งหลายท่านมักจะลืมมองถึงความเป็นประชาธิปไตยในด้านอื่นๆ ทั้งๆ ที่มีความสำคัญไม่น้อย ซึ่งหากด้านอื่นๆ เหล่านั้นขาดไป ความเป็นประชาธิปไตยย่อมมีความไม่สมบูรณ์

ในสังคมโลกที่มีการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยจะมีระบบเศรษฐกิจเสรีทุนนิยมเป็นพื้นฐานอันเป็นหลักการของระบอบการปกครองควบคู่กันไป เพราะระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์จะต้องครอบคลุมทั้งมิติทางการเมืองและทางเศรษฐกิจด้วยเนื่องด้วยสิทธิเสรีภาพทางการเมืองและทางเศรษฐกิจของบุคคลต้องได้รับการรับรองและคุ้มครองจากรัฐโดยเท่าเทียมกันในทุกๆ ด้าน



ในทางเศรษฐกิจประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วงและรุนแรงอย่างยิ่งสภาพคนส่วนน้อยนิดรวยกระจุก แต่คนส่วนใหญ่จนกระจายได้ปกคลุมสังคมไทยมาต่อเนื่องยาวนาน และนับวันช่องว่างระหว่างคนรวยหยิบมือเดียวกับคนจนคนส่วนใหญ่ของประเทศมีแต่จะห่างออกไปยังมองไม่เห็นอนาคตว่าจะมีรัฐบาลใดสามารถหยุดยั้งและแก้ไขได้

ซึ่งเป็นที่ทราบโดยทั่วไปจากการประกาศอันดับ50มหาเศรษฐีของไทยของนิตรยสารฟอร์ปในปี 2560เป็นการตอกย้ำปัญหานี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะมหาเศรษฐีไทย 50 คนแรก มีทรัพย์สินถึง 30% ของจีดีพี คนรวย 10% นอกจากมีรายได้เป็น 35 เท่าของคนจน10% แล้ว ยังมีสินทรัพย์ถึง 79% ของประเทศและสถาบันการเงินเครดินสวิส ยังออกรายงานความมั่งคั่งของโลก (Global WealthReport 2016) เมื่อปีที่แล้วระบุว่าไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากรัสเซีย กับอินเดียอีกด้วยซึ่งปัญหานี้ สำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)ก็ยอมรับถึงความรุนแรงของปัญหานี้ โดยระบุว่าคนรวย 0.1%หรือ 65,000คน จากประชากรทั้งหมด 65 ล้านคนมีเงินฝากเท่ากับ49% ของเงินฝากทั้งระบบ



ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศเช่นนี้ย่อมสะท้อนภาพความเป็นประชาธิปไตยในทางเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนเป็นอย่างดีคำว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย" ก็ดี"ประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน" ก็ดีหรือ"ทรัพยากรของชาติเป็นของทุกคน" ก็ดีล้วนเป็นเพียงบทที่บัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ เท่านั้นในความเป็นจริงประชาชนส่วนใหญ่ มีส่วนในทรัพย์สินเพียงน้อยนิดหรือบางคนแทบไม่มีเลย



นอกจากนี้ในการประกอบธุรกิจก็มีผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่เพียงไม่กี่รายไม่กี่ตระกูลที่ครอบครองตลาดและมีอำนาจในทางธุรกิจเหนือกว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆหลายกิจการมีการใช้อำนาจผูกขาด กีดกันผู้ประกอบการายอื่นๆ ที่จะเข้ามาโดยไม่เป็นธรรมสภาพเช่นนี้ ก็เปรียบเสมือนความเป็นเผด็จการทางเศรษฐกิจนั่นเอง

เข้าสู่ยุคปฏิรูปประเทศโดย คสช.การที่ผู้นำประเทศประกาศการเดินหน้าปฏิรูปประเทศในทุกด้านประกาศแผนยุทธศาสตร์ชาติมารองรับ เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว แต่ก็ควรต้องตระหนักถึงปัญหาความเป็นประชาธิไตยทางเศรษฐกิจด้วยแม้รัฐธรรมนูญของประเทศไทยหลายฉบับ นับตั้งแต่ปี 2540, 2550และ 2560 จะได้ตระหนักถึงปัญหานี้เรื่อยมาจนถึงรัฐธรรมนูญปัจจุบันปี 2560 ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 75




"รัฐพึงจัดระบบเศรษฐกิจให้ประชาชนมีโอกาสได้รับประโยชน์จากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไปพร้อมกันอย่างทั่วถึงเป็นธรรมและยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงขจัดการผูกขาดทางเศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรมและพัฒนาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศและประชาชน รัฐต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชนเว้นแต่เป็นกรณีที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐการรักษาประโยชน์ส่วนรวม การจัดให้มีสาธารณูปโภคหรือการจัดทำบริการสาธารณะ




รัฐพึงส่งเสริมสนับสนุน คุ้มครอง และสร้างเสถียรภาพให้แก่ระบบสหกรณ์ประเภทต่างๆ และกิจการวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางของประชาชนและชุมชน

ในการพัฒนาประเทศรัฐพึงคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุกับการพัฒนาด้านจิตใจและความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนประกอบกัน""




ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นหลักบัญญัติของความเป็นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจของประเทศและประชาชนที่รัฐธรรมนูญให้การคุ้มครองรับรองไว้ ซึ่งหากรัฐปฎิบัติได้จริงตามหลักการดังกล่าวความเป็นประชาธิปไตยทางเศรษญกิจของไทยย่อมปรากฎเป็นจริงความมั่นคงในทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตยย่อมเกิดขึ้นได้ แต่โดยความเป็นจริงการปฎิบัติตามแนวนโยบายแห่งรัฐตามบทบัญญัติของกฎหมายรัฐธรรมนูญดังกล่าว ยังมีปัญหาอยู่มากโดยเฉพาะการที่รัฐหรือรัฐวิสาหกิจของรัฐประกอบกิจการแข่งขันกับเอกชนก็ดีหรือการที่ธุรกิจขนาดใหญ่มีอำนาจผูกขาด และทำลายธุรกิจสหกรณ์หรือชุมชนทำลายธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางและวิสาหกิจขนาดย่อมมีความรุนแรงจนธุรกิจเหล่านั้นแทบไม่มีที่ยืน


ระบบปลาใหญ่กินปลาเล็กรุนแรงยิ่ง เหล่านี้คือภาพสะท้อนความเป็นประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยไม่น้อยกว่าความไม่เป็นประชาธิปไตยในทางการเมือง หากเราคาดหวังที่จะเห็นประเทศเดินหน้าสังคมก้าวสู่การปฏิรูปประเทศเพื่อความเป็นประชาธิปไตย จำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศของเราต้องให้ความสำคัญกับการสร้างประชาธิปไตยในทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นและปรากฎเป็นจริงมิใช่เพียงแต่บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่ออวดอ้างและบอกกับชาวโลกเท่านั้น



คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน โดย....ประพันธุ์ คูณมี



logoline