"ล่าความจริง" ได้พูดคุยกับหนึ่งในสมาชิก "สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย" ได้ข้อมูลน่าสนใจว่า ปกติเวลาออกไปผจญภัยตามถ้ำ จะแยกประเภทถ้ำแบบง่ายๆ คือ
1.ถ้ำที่ไม่มีธารน้ำผ่านเลย ถ้ำประเภทนี้แม้ดูเผินๆ จะไม่มีอันตราย แต่ก็ไม่แน่เสมอไป เพราะอาจมีสัตว์ใหญ่ หรือสัตว์เลื้อยคลานมีพิษอยู่ข้างใน เนื่องจากเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับสัตว์ประเภทนี้ นอกจากนั้นยังอาจมีดินถล่มในฤดูฝนได้ด้วย
2.ถ้ำที่มีน้ำ หรือมีลำธารไหลผ่าน เหมือน "ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน" ที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ การเข้าไปท่องเที่ยวในถ้ำประเภทนี้ โดยเฉพาะในหน้าฝน สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกเลยก็คือ สังเกตสีของน้ำ เพราะปกติน้ำต้องใส เป็นน้ำในป่าจริงๆ แต่ถ้าน้ำเป็นสีขุ่น สีแดง แปลว่าเป็นน้ำที่ไหลหลากมาจากต้นน้ำบนภูเขา ซึ่งมีความแรง เชี่ยว และมีปริมาณมาก บางทีจุดที่เราไปถึง ฝนยังไม่ตก ทำให้นึกว่าไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้วต้นน้ำข้างบนเหนือถ้ำ ฝนอาจตกหนักนานแล้วก็ได้ ฉะนั้นจึงมีความเสี่ยงที่น้ำป่าจะไหลทะลักมา
สำหรับถ้ำประเภทที่ 2 นี้ มีอันตรายมากกว่าประเภทแรก และในเมืองไทยมีอยู่หลายแห่ง เช่น ที่จังหวัดกระบี่ เคยมีนักท่องเที่ยวไปติดในถ้ำพร้อมไกด์มาแล้ว โชคดีช่วยเหลือออกมาได้ทั้งหมด นอกจากนั้นก็มีที่จังหวัดกาญจนบุรี และจังหวัดท่องเที่ยวในภาคใต้
สมาชิกสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ฯ บอกด้วยว่า หากจะให้ถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่ควรปรับปรุงก็คือ กระบวนการจัดการพื้นที่ ยกตัวอย่างเช่น อาจต้องมีป้ายเตือนตามจุดต่างๆ ระหว่างทางเข้าถ้ำ อย่างช่วงเวลาน้ำหลาก เป็นเวลาไหนกันแน่ สิ่งของที่ต้องเตรียมก่อนเข้าถ้ำ และหน่วยงานที่รับผิดชอบควรปิดถ้ำทันทีเมื่อเข้าหน้าฝน หรือแม้แต่ในถ้ำ ก็อาจต้องมีป้ายบอกทางไปจุดพักที่เป็นห้องโถงของถ้ำ มีอาหารแห้ง และมีอุปกรณ์ที่ใช้ฉุกเฉินในถ้ำบ้าง ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อเสนอในมุมมองของนักผจญภัย ที่ยึดหลักการ "มีแล้วไม่ได้ใช้ ยังดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี"
จริงๆแล้วบ้านเราก็มีหน่วยงานเฉพาะที่ดูแลเรื่องภัยพิบัติและเหตุการณ์ฉุกเฉินอยู่เหมือนกัน เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ที่จะวัดประสิทธิภาพของคนทำงาน วันนี้เชื่อว่าทุกคนส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ที่กำลังพยายามเข้าไปช่วยเหลือเยาวชนนักฟุตบอลที่ติดอยู่ในถ้ำกันอย่างเต็มความสามารถ