svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เจาะประเด็นร้อน

อยู่อย่างไรในสังคม..."ร่างทรง 4.0"

13 มิถุนายน 2561
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"ร่างทรง 4.0" กำลังเป็นกระแสในโลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้ ทั้ง "ร่างทรงสุริยเทพ พระมหาสุริยะ" หรือ "ร่างทรงเทพ 4G" ที่ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กระหว่างการเข้าทรง "ร่างทรงพ่อปู่สายเบิร์น" หรือ "ปู่เบิร์น" ที่แสดงอาการแลบลิ้นตลอดเวลาเมื่อองค์ลงประทับ รวมทั้งร่างทรงร่างอื่นๆ ที่เห็นกันดาษดื่น ไม่เว้นแม้กระทั่ง "ร่างทรงวีดีโอคอลล์" ที่รับรักษาโรคภัยไข้เจ็บทุกโรคฟรี เด็ดยิ่งกว่าบัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรคเสียอีก


แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคล แต่ก็มีนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องร่างทรงอย่างจริงจัง ออกมาฟันธงว่า การที่เทพจะมาเข้าสิงร่างคน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้



ดร.ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ นักวิชาการด้านศาสนวิทยาและรัฐศาสตร์ อธิบายว่า เรื่องร่างทรงนั้น ส่วนใหญ่ที่เป็นกระแสอยู่ตอนนี้บอกเลยว่าไม่จริง ที่บอกว่าไม่จริงเพราะมันประกอบด้วย 3 อย่าง คือ เสแสร้ง เพื่อเหตุผลหรือหวังอะไรก็แล้วแต่ อย่างที่สอง คือ อุปาทาน เมื่อเชื่อแล้วก็ส่งผลต่อการแสดงออก ซึ่งมีทั้งอุปาทานเดี่ยว อุปาทานกลุ่ม อันที่สาม จิตประสาท จะทำให้หูแว่ว ภาพหลอน จินตนาการหลอน เพราะฉะนั้นจึงเกิดเรื่องแบบนี้ และทั้งสามอย่างมักผสมกันด้วย"



อย่างไรก็ดี ดร.ศิลป์ชัย ก็ยอมรับว่า สิ่งลี้ลับเหล่านี้ไม่สามารถปฏิเสธหรือยอมรับได้อย่างสิ้นเชิงว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่อยากให้สังคมมองว่าเป็นเรื่องที่น่าศึกษาให้ลึกซึ้งขึ้น หรือหาข้อพิสูจน์มากกว่า เพราะมีปรากฏการณ์บางอย่างที่น่าสนใจเช่นกัน โดยเฉพาะการที่ร่างทรงบอกว่ามีวิญญาณอยู่ในร่าง จริงๆ แล้วมันเกิดได้หลายอย่าง เช่น มีความชื่นชอบ ชื่นชม รู้จักเรื่องราวของบุคคลเหล่านั้น จึงก่อให้เกิดอุปาทาน (ในทางพระพุทธศาสนาแปลว่า ยึดมั่น ถือมั่นในจิตใจ) ทำให้รู้สึกนึกคิดว่าเป็นคนนั้นเสียเอง แต่บางกรณีก็เป็นการหลอกตัวเองว่ามีวิญญาณมาอยู่ในร่าง เพื่อหลอกให้บุคคลเข้าใจว่าเป็นเทพองค์นั้น เพราะตัวบุคคลไม่สามารถรับรู้ได้ว่าตนมีร่างอะไรเข้าสิงอยู่



ดร.ศิลป์ชัย บอกด้วยว่า กระแส "ร่างทรง 4.0" เป็นเรื่องเดียวกับ "คนทรงเจ้า" ที่อยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านาน รวมไปถึงพิธีการไหว้ครู ครอบครู ซึ่งบอกไม่ได้ว่าจริงหรือไม่จริง เพียงแต่ "ร่างทรง 4.0" เป็นวิวัฒนาการของ "คนทรง" ที่มีรูปแบบทันสมัยมากขึ้น เข้ากับเทคโนโลยี และนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นประโยชน์



ปรากฏการณ์ "ร่างทรงยุค 4G" ถูกมองผ่านสายตาของ ศ.สุริชัย หวันแก้ว นักวิจัยสังคมชื่อดังจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่า ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายหรือน่าตกใจอะไรมากมายนัก เพราะเป็นการสะท้อนภาพความเป็นไปของผู้คนในสังคมที่ขาดความเชื่อมั่นในการดำเนินชีวิต จึงพยายามหาที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในชีวิตยุคปัจจุบัน ต้องบอกว่ามีมากกว่าในอดีตเสียด้วยซ้ำ



"ความเชื่อของคนในสังคมมันสะท้อนความเป็นไปของสภาพแวดล้อมในสังคมด้วย คือถ้าสังคมไม่ค่อยมีอะไรมากมายให้กังวล คนก็จะเฉยๆ แต่พอมีความกระวนกระวายกับสภาพที่ทำให้ชีวิตคนไม่แน่นอนหลายอย่าง อันนี้ทำให้คนโหยหาสิ่งที่เป็นที่พึ่ง เรื่องแบบนี้เกิดกับมนุษย์ทุกคน แต่สมัยปัจจุบันหนักเข้าไปใหญ่ ไม่เหมือนสมัยโบราณ ความไม่แน่นอนในชีวิตของเรามีมาก คือไม่ได้เกิดจากดินฟ้าอากาศอย่างเดียวเหมือนในอดีต แต่มาจากการตัดสินใจของคนอื่นก็เยอะ และบางทีก็ไม่รู้มาจากที่ไหน"



นักวิจัยสังคมชื่อดัง ไม่ฟันธงว่า "ร่างทรง" มีจริงหรือไม่ แต่มองว่าโลกของเรามีอะไรมากกว่าสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ จึงมีศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่เรียกว่า "ไสยศาสตร์" มีพิธีกรรมเพื่อแสดงความเคารพสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น การไหว้พระแม่ธรณี หรือแม้แต่ประเพณีลอยกระทง ซึ่งก็มองได้ว่าเป็นกุศโลบายที่ทำให้คนเคารพยำเกรงธรรมชาติ



"โลกที่เราเห็นด้วยตาและต้องพิสูจน์ได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ เป็นโลกที่เรานึกว่าควรจะยึดถือและสร้างให้ระบบความเจริญเป็นไปอย่างนั้น คือความเจริญที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ต้องไม่มีไสยศาสตร์ แต่ก่อนเราคิดแบบนี้ ว่าวิทยาศาสตร์กับไสยศาสตร์เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกัน แต่มนุษย์เราไม่ใช่ว่าจะได้ความมั่นใจจากวิทยาศาสตร์เท่านั้น อย่างโลกปัจจุบันเราก็เริ่มว่ามีคำพูดถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ นั่นคือการยอมรับว่าโลกนี้มีสิ่งที่อาจจะมากกว่าที่เราเห็น เรารู้"



"ยิ่งไปกว่านั้นเรายังต้องเคารพสิ่งที่เรามองไม่เห็น และเราสัมผัสไม่ได้ด้วยนะ คนบางคนทำไมถึงสร้างพิธีเคารพป่าเขา ทำไมจะต้องมีพิธีไหว้พระแม่ธรณี ทำไมเรามีลอยกระทง เหล่านี้จริงๆ แล้วก็แฝงด้วยกุศโลบายของบรรพบุรุษ เพราะมันมีเหตุผลทางสภาพแวดล้อมหลายอย่างที่พิสูจน์ไม่ได้อย่างตรงไปตรงมา การที่เราเคารพสิ่งที่เป็นภูเขา แม่น้ำ จริงๆ แล้วก็คือการทำอะไรที่ทำให้รู้สึกว่ามนุษย์ไม่เลยเถิด ให้รู้จักสิ่งที่ตัวเองยอมรับว่ายิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ก็มี อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์รู้จักเกรงใจธรรมชาติบ้าง ถือเป็นกุศโลบาย"



จากสภาพสังคมร่างทรงที่เป็นอยู่นี้ ศ.สุริชัย เสนอว่า รัฐบาลควรจับมือกับทุกภาคส่วน สร้างกระบวนการให้ผู้คนได้รู้เท่าทัน ป้องกันการถูกหาประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการปราบปรามรุนแรง หรือวิธีการแบบอำนาจนิยม หรือแม้แต่ต้องทำให้เรื่องราวแบบนี้สูญหายไปเลย เพราะประเทศไทยไม่ได้แปลกประหลาดที่สุดในโลก แต่ยังมีเรื่องราวคล้ายๆ กันนี้ในจีน อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ในสหรัฐอเมริกา ทั้งยังนำมาผนวกรวมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอีกต่างหาก



"เรื่องการเข้าทรงเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ ไม่ใช่แต่ในประเทศไทย แต่ในสหรัฐอเมริกา ในยุคปัจจุบันนี้ ก่อนคุณทรัมป์ (ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์) จะได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ก็มีผู้สนับสนุนจากหลายสายมาก พวกแม่มด พวกเข้าทรงในอเมริกาออกมาเชียร์ทรัมป์ สะท้อนให้เห็นว่าที่จริงมันมีคนในชุมชนทั้งขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะในสังคมเมืองสมัยใหม่ขนาดไหนก็ยังมีเรื่องพวกนี้อยู่ ฉะนั้นอย่าคิดว่าเมืองไทยแปลกประหลาดที่สุดในโลก มันไม่ใช่ เพราะอย่างอินโดนีเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น ปรากฏการณ์เหล่านี้ก็ปรากฏให้เห็น หรือในประเทศจีนก็เหมือนกัน เพียงแต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียวว่าเป็นการเข้าทรง แต่ปรากฏการณ์ของลัทธิความเชื่อที่แสดงออกมาใหม่ๆ มันมีให้เห็นอยู่ตลอด"



"ยิ่งช่องทางใดที่ผสมวิธีการแบบเดิม ความเชื่อแบบเดิม เข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ ยิ่งไปได้ไกล เพราะฉะนั้นความคิดเรื่องสตาร์ทอัพด้านธุรกิจ 4.0 แต่เป็นสตาร์ทอัพในโลกของความคิดความเชื่อ ถ้าเราทำความเข้าใจกันเสียหน่อย ก็มีวิธีขยับเดินไปข้างหน้าด้วยกันได้ดีกว่านี้"



"ปัจจุบันโลกทางด้านนี้เราก็มองข้ามไป เราเห็นว่ามันไร้สาระ อันที่จริงเราลืมไปว่าชีวิตในยุคสมัยปัจจุบันต้องการความเข้าใจร่วมกันในสังคมมากขึ้น จะได้ไม่มองคนเป็นสัตว์ประหลาด ไม่มองคนหรือพึ่งแต่จะใช้อำนาจนิยมในการแก้ปัญหา ฉะนั้นต้องหันมาพึ่งพาการใช้ความรู้ความเข้าใจร่วมกันให้เยอะขึ้น รัฐบาลต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้ประชาชนรู้เท่าทัน เพื่อยอมรับกันได้ กำกับดูแลกันได้ และไม่ตกเป็นเหยื่อสำหรับกลุ่มที่หลอกลวง" ศ.สุริชัย กล่าว



นักวิจัยสังคมชื่อดัง กล่าวทิ้งท้ายว่า ทางออกของการอยู่ร่วมกันระหว่างไสยศาสตร์กับวิทยาศาสตร์ คือการเปิดใจให้กว้าง ยอมรับซึ่งกันและกัน เพราะศาสตร์ทุกศาสตร์ล้วนอาศัยความเชื่อเป็นพื้นฐานทั้งนั้น และโลกนี้ก็มีสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้อยู่จริงๆ การพึ่งพายึดเหนี่ยวสิ่งที่มองไม่เห็นเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่การดำเนินชีวิต จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ต้องมีสติและรู้เท่าทัน เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพที่หากินกับความเชื่อของคน

logoline