"แม่นก" เล่าว่าครั้งแรกที่รู้ว่าลูกเป็นดาวน์ ได้เสาะหาข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม และค้นหาผู้เชี่ยวชาญที่ให้คำแนะนำคือ อาจารย์อุ่นเรือน อำไพพัฒน์ และอาจารย์พรรณี แสงชูโต โรงพยาบาลราชานุกูล ซึ่งสอนการวิธีการเลี้ยงเด็กอย่างเหมาะสมและเป็นการกระตุ้นพัฒนาการในช่วง 2 ปีแรก
นอกจากนี้ยังได้หนังสือจากคุณแม่น้องแพน คุณแม่ของเด็กพิเศษ คำแนะนำจากคุณหมอพรสวรรค์ วสันต์ โรงพยาบาลศิริราช จากนั้นก็เลี้ยงเหมือนเด็กปกติทั่วไป โดยศึกษาเรื่องพัฒนาการเด็กแต่ละวัย และใช้เทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญในการสนับสนุนให้มีพัฒนาการได้ไล่เลี่ยกับเด็กๆ ในวัยเดียวกัน
"ตอนเล็กๆ ก็เข้าสังคมแถวๆ บ้าน เช่น พาเดินเล่นในซอยตั้งแต่อายุ 2-3 เดือน สังคมเพื่อนบ้านเป็นสิ่งที่ช่วยไออุ่นตอนเล็กๆ อย่างมาก มีเพื่อนเป็นเด็กๆ วัยไล่เลี่ยกัน อุ่นเรียนรู้จากเด็กๆ ด้วยกัน เด็กกลุ่มอาการดาวน์ จะมีปัญหาเรื่องการพูด จะให้ดูทีวีน้อยที่สุด และจำกัดเวลาในการดูเพียงไม่เกิน 2 ชั่วโมง การเล่นแต่ละวันเน้นเพื่อให้เกิดการสื่อสารสองทาง เช่น เล่นเกมกระดานด้วยกัน การสอนอักษรภาพ เพื่อให้อุ่นหัดอ่าน หัดออกเสียง เพื่อช่วยเรื่องการพูด และทำให้รักการอ่านหนังสือไปด้วยจนถึงทุกวันนี้" แม่นกเล่า
เด็กกลุ่มอาการดาวน์ ชอบเข้าสังคม ชอบคุยกับคน ใจดี ยิ้มแย้ม แจ่มใส จึงพยายามพาลูกเข้าสังคม ฝึกให้ช่วยเหลือตัวเองได้มากที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี สังคมยุคนี้เปิดกว้างขึ้น เข้าใจและให้โอกาสมากขึ้น การมีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไปในสังคมจะช่วยสนับสนุนพัฒนาการให้เด็กพิเศษ ขณะเดียวกันสังคมก็ได้เรียนรู้จักความหลากหลาย ความแตกต่าง ในสังคมด้วยเช่นกัน
แม่นก อ่านนิทานให้ไออุ่นฟังตั้งแต่ 9 เดือน เพราะตั้งใจว่าจะพยายามให้อ่านหนังสือได้เหมือนเด็กปกติ พอโตขึ้นก็ให้อ่านเอง แม้ว่าตอนเด็กๆ จะทำหนังสือขาดบ่อยๆ ก็ต้องเปิดโอกาส จนวันนี้ไออุ่นเป็นเด็กพิเศษที่ชอบอ่านหนังสือมาก นั่งอ่านได้เป็นชั่วโมง พาไปร้านหนังสือ ต้องเรียกกลับไม่งั้นไม่ยอมกลับ นั่งอ่านอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็ฝึกเขียน น้องจึงสามารถ อ่านออกเขียนได้
แม่นก เล่าว่า นอกจากพาเข้าสังคม หัดอ่านหนังสือ ยังหัดให้ขี่จักรยานและว่ายน้ำ เพราะจะทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติเช่นเดียวกับเด็กทั่วไป และวันหยุดจะพยายามพาไปเที่ยวในที่ต่างๆ ใกล้ในกรุงเทพฯ ก็ได้ เช่น ท้องฟ้าจำลอง พิพิธภัณฑ์เด็ก เกาะเกร็ด พาไปไหว้พระ จริงๆ ก็เหมือนพ่อแม่ทั่วไป ที่พยายามหาสิ่งดีๆ ให้แก่ลูก
ล่าสุดนี้ ไออุ่นไปเรียนทำขนม เริ่มจากทำขนมคุกกี้ขายทางออนไลน์ มีคุกกี้ช็อกโกแลตชิพ และคุกกี้คอนเฟล็ก ขนมบราวนี่ กระทั่งเปิดเพจในเฟซบุ๊ก ชื่อ "ไออุ่น โฮมเมด" เพื่อให้ไออุ่นได้มีแบรนด์เป็นของตัวเอง เป็นการเริ่มต้นเล็กๆ ของไออุ่นและครอบครัว และช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ไออุ่นไปฝึกเป็นเด็กเสิร์ฟน้ำและเก็บโต๊ะ ที่ร้าน The First Espresso Roasters ที่วิภาวดีรังสิตซอย 2
เบญญาภา เนาวรรณ์ หรือ จีจี้ เจ้าของร้าน บาเรสต้าระดับแชมป์ประเทศไทย 4 สมัย เล่าว่า รับไออุ่นฝึกงานช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา เป็นเด็กนักเรียนฝึกงานคนแรกของร้าน ปกติคนที่ฝึกงานที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนที่มาเรียนชงกาแฟ ประมาณ 7 วันเพื่อซ้อมมือก่อนเปิดร้าน
แต่สำหรับนักเรียนฝึกงานมีไออุ่นเป็นคนแรก จีจี้จึงต้องทำความเข้าใจกับพนักงานในร้านและลูกค้าของร้านให้เข้าใจว่า ไออุ่นเป็น "เด็กพิเศษ" ที่มาฝึกงานที่ร้านแห่งนี้ เป็นเคสแรกที่จะเริ่มต้น ซึ่งในอนาคตร้านนี้จะมีนโยบายให้น้องนักเรียนมาฝึกงานได้ แต่ต้องผ่านการสัมภาษณ์ มีอายคอนแท็ก เพราะเป็นงานบริการ ต้องยิ้มแย้มแจ่มใส ซึ่งร้านนี้จะมอบรายได้ร้อยละ 1 ของยอดขายทุกบิลเพื่อทำบุญให้แก่องค์กรการกุศลต่างๆ หรือกากกาแฟที่ไม่ได้ใช้แล้วก็จะนำมาวางไว้เผื่อลูกค้าที่ต้องการนำไปใช้ประโยชน์ได้ฟรี
"เมื่อก่อนเราคิดกับเด็กอย่างไออุ่นแบบหนึ่ง แต่พอได้เห็นน้องไออุ่น จึงทราบว่า เรามองผิด คนอื่นๆ ก็จะคิดเหมือนเราว่าน้องจะทำได้หรือ จะเป็นปัญหาไหม จะเป็นภาระหรือไม่ แต่พอได้ผ่านการฝึกงานจึงทำให้ทราบว่า น้องสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป จึงเป็นการเปลี่ยนมุมมองใหม่ เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ คือน้องทำได้" จีจี้กล่าว
บาเรสต้าระดับแชมป์ประเทศไทย 4 สมัย บอกว่า โอกาสเหมือนไอศกรีมถ้าเราไม่กินมันจะละลาย เช่นเดียวกันถ้าใครมีโอกาสแล้วไม่เรียนรู้และคว้าไว้ มันจะละลายหมดไปเช่นกัน
สนใจสั่งขนมไออุ่นโฮมเมด สอบถามได้ที่ เฟซบุ๊กไออุ่นโฮมเมด หรือ [email protected]