แต่ที่ดูเหมือนจะสร้างความตกตะลึงมากที่สุดคือการที่ "สรรเสริญ แก้วกำเนิด" ออกมาระบุว่า "ในที่ประชุม นายกฯ ฟังความเห็นของสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วจึงยังไม่อนุมัติงบ แล้วจึงให้กลับไปทบทวนใหม่ ซึ่งนายกฯ ระบุว่า ยอมไม่ได้กับเรื่องไมโครโฟน 1.2 แสนบาท และนาฬิกา 7 หมื่นบาท"
ทำให้คนสงสัยว่า "ไมค์เทวดา" อะไรกัน ทำไมถึงราคาเป็นแสน หรือ "นาฬิกาเทพ" จากไหนถึงได้ราคามหาโหดขนาดนั้น รวมไปถึงความจำเป็นของการต้องใช้อุปกรณ์ขนาดนั้นเชียวหรือ
ถึงนาทีนี้แม้เรายังไม่เห็นสเปกของ "ไมค์เทวดา - นาฬิกาเทพ" แต่สิ่งที่เราพบคือ เรื่องราวแบบนี้ไม่เคยหายไปจากสังคมไทย และเรื่องราวเช่นนี้เคยมีมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"ไมค์เทวดา" นั้นหากยังไม่ลืมกันก็เคยมีเรื่องมีราวเป็นข่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง
โดยครั้งนั้นเกิดขึ้นในปี 2557 เมื่อรัฐบาลเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ มี "ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล" เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พบว่ามีการปรับปรุงห้องประชุมคณะรัฐมนตรี และหนึ่งในครุภัณฑ์ที่ถูกจับตาคือ "ระบบเครื่องเสียง" ที่ว่ากันว่า "ไฮเทค" โดยเฉพาะไมโครโฟน ตกราคาตัวละ 145,000 บาท ใช้ทั้งหมด 89 ตัว และหากคิดทั้งระบบจะอยู่ที่ 37 ล้านบาท
โดยสเปกของ "ไมค์เทวดา" แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลในขณะนั้นระบุว่า "เสียงชัดใส ป้องกันเสียงรบกวน เป็นได้ทั้งไมค์ธรรมดาและเป็นแบบพิเศษ คือ สามารถเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ที่เป็นระบบบันทึกข้อมูล ที่สำคัญมีระบบล็อกข้อมูลและการป้องกันการโจรกรรมข้อมูลด้วย โดยมีซอฟต์แวร์พิเศษควบคุมการทำงาน ส่วนหน้าจอที่เห็นมีขนาด 7 นิ้ว มีลำโพงในตัว เป็นระบบสัมผัส โดยจะเป็นระบบแอนดรอยด์พิเศษของบริษัทเอง ผู้เข้าร่วมประชุมสามารถเข้าชมเว็บไซต์หรือท่องอินเทอร์เน็ตได้ ส่งต่อข้อมูลถึงกันได้ผ่านหน้าจอดังกล่าว นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมประชุมดูเว็บไซต์อยู่ที่หน้าจอแล้ว ประธานการประชุมต้องการแสดงรูปภาพ หรือนำเสนองานผ่านไฟล์ ก็สามารถกดแทรกขึ้นหน้าจอของทุกเครื่องได้"
แต่แน่นอนคำถามเรื่องความคุ้มค่าและความจำเป็นยังโหมกระหน่ำไม่หยุด เรื่องราวสุดจะทัดทาน เมื่อกระแสโหมกระหน่ำ จน "มณฑล สุดประเสริฐ" อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง ผู้รับผิดชอบการปรับปรุงต้องออกมาชี้แจงว่า ยังไม่ได้เซ็นสัญญา และยังไม่ได้จ่ายเงินล่วงหน้า 15% ตามที่ระบุไว้ในเอกสารประกวดราคา นอกจากนี้ยังได้ต่อรองราคาจาก 1.4 แสน เหลือเพียง 94,250 บาท
เรื่องราวไม่จบง่ายๆ เพราะแม้จะชี้แจงว่ายังไม่เซ็นสัญา แต่กลับพบว่ามีการติดตั้งแล้ว จนกระอักกระอ่วนกันถ้วนหน้า ไม่ทราบว่าใครพูดจริงใครพูดเท็จ ไม่ทราบว่าบริษัทเข้าไปติดตั้งได้อย่างไรเมื่อยังไม่มีการอนุมัติ สุดท้ายทางบริษัทก็ต้องมาถอดออกไป
ขณะที่มีคนไปร้อง ป.ป.ช. ว่า "ม.ล.ปนัดดา" ในฐานะปลัดสำนักนายกฯ ต้องมีส่วนรับผิดชอบ แต่สุดท้ายก็มีการระบุว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล และมีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนอธิบดีกรมโยธาธิการในขณะนั้น ก่อนที่เรื่องจะเงียบหายไปกับสายลม
เพราะเมื่อปี 2556 ก็เคยมีมาแล้วโดยเกิดที่รัฐสภา ซึ่งขณะนั้นอยู่ในรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการระบุว่ารัฐสภาได้จัดซื้่อนาฬิกาแขวนผนัง จำนวน 200 เรือน มูลค่า 15 ล้านบาท หารแล้วตกเรือนละ 75,000 บาท เท่าครั้งนี้ไม่มีผิด ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าเป็นแบบเดิมหรือไม่
โดย "นุกูล สัญฐิติเสรี" รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในขณะนั้นชี้แจงว่า งบประมาณทั้งหมดเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการควบคุมเวลาและการบริหารเวลาภายในรัฐสภาทั้งระบบ โดยก่อนหน้านี้สภาผู้แทนราษฎรประสบปัญหาในการนัดหมายเวลากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากนาฬิกาในห้องประชุมแต่ละห้องเดินไม่ตรงกันและบางเรือนไม่เดิน ทำให้การบริหารเวลาเกิดความผิดพลาด สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจึงได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดทำโครงการระบบนาฬิกาของรัฐสภาให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
เขาอธิบาย "สเปกเทพ" ว่า "สามารถเชื่อมต่อกับดาวเทียมและระบบอินเทอร์เน็ตเพื่อส่งสัญญาณเวลาให้แก่นาฬิกาเครื่องลูกข่ายทั้งหมด รวมถึงมีการแบ็กอัพระบบเวลาให้แก่ชุดควบคุมนาฬิกาหลักให้สามารถรักษาเวลาต่อเนื่องในกรณีไฟฟ้าดับได้ไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง นอกจากนี้ งบประมาณดังกล่าวยังรวมถึงคอมพิวเตอร์ แอพพลิเคชัน และระบบการเชื่อมต่อกับมาตรฐานเวลาในระบบของสำนักมาตรวิทยา กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ อุปกรณ์และระบบการเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้สายใยแก้วนำแสงไฟเบอร์ออพติก สำหรับเชื่อมโยงระหว่างอาคารที่มีความเสถียรสูง ระบบการติดตั้ง ระบบไฟฟ้าและสายสัญญาณ และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระบบนาฬิกานี้ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศในกลุ่มทวีปยุโรป กลุ่มทวีปอเมริกาเหนือ และญี่ปุ่น ในประเทศไทยมีการใช้ที่สถาบันมาตรวิทยา กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ และศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ"
สเปกขนาดนี้หลายคนเปรียบเทียบว่าเป็น "นาฬิกานาซา" ใช้เทียบเวลาปล่อยยานอวกาศ
อย่างไรก็ตาม มีการตรวจสอบต่อมาว่า นาฬิกาที่จัดซื้อในครั้งนั้นเป็นนาฬิกาประเภทจอแอลซีดีดิจิทัล ยี่ห้อ Bodet รุ่น Cristalys Ellipse จากประเทศอังกฤษ ราคาเรือนละ 490 ยูโร (ไม่รวมภาษี) หรือประมาณ 20,310 บาท (อัตราแลกเปลี่ยน 1 ยูโร เท่ากับ 41.45 บาท ในขณะนั้น)
แต่สุดท้ายในปี 2559 ก็มีการถอดนาฬิกาดังกล่าวออก เพราะใช้การไม่ได้ตามปกติ ขณะในด้านการตรวจสอบ ทาง ป.ป.ช.ก็ยังไม่มีผลใดๆ ออกมา ส่วนการตรวจสอบของทางสภาเองก็เอาผิดใครไม่ได้เช่นกัน
เรื่อง "นาฬิกา-ไมค์" จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ พอๆ กับการหาตัวผู้รับผิดชอบไม่ได้ก็ยังคงเป็นปกติของสังคมไทย
ล่าสุด "วิลาศ จันทรพิทักษ์" ยังออกมาเปิดเผยอีกว่า โครงการจัดสร้างรัฐสภาจะซื้อโทรทัศน์ยี่ห้อหนึ่งขนาด 65 นิ้ว จากการเดินสำรวจในท้องตลาด ราคาไม่เกิน 50,000 บาท แต่กลับมีการตั้งงบประมาณไว้ที่ 170,000 บาท แพงกว่าถึง 3 เท่าตัว
นี่แค่สิ่งที่เราสามารถพบเห็นและรับรู้ได้ ยังมีอย่างอื่นอีกมากในระบบ "จัดซื้อจัดจ้างจัดงบประมาณ" แบบไทยๆ และแน่นอนก็คงเอาผิดใครไม่ได้เหมือนที่เคยเป็นมา ยังดีที่งานนี้รัฐบาลไม่อนุมัติผ่านไปง่ายๆ แต่ก็น่าถามว่า "ใครกัน...ตั้งงบประมาณแบบนี้"