เมื่อวันที่ 14 พ.ค. พ.ต.อ.ชัชชัย สำเนียง ผกก.กก.5 (ตรวจพิสูจน์,สถิติวิจัย) บก.จร. กล่าวว่า การตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์นั้น ภายหลัง พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.น. มาดำรงตำแหน่งเมื่อ 3 ต.ค. 60 ได้มีคำสั่งยกเลิกด่านตรวจแอลกอฮอล์ทั้ง 88 สน. ทั่วกรุงเทพมหานคร และให้ บก.จร. และจราจรกลาง เป็นผู้รับผิดชอบแทน เพื่อลดปัญหาการเรียกรับผลประโยชน์ ในข้อสั่งการยังระบุด้วยว่าการตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์แต่ละครั้งต้องมีนายตำรวจระดับสารวัตรดูแลประจำด่านตลอด และต้องมีแผนเสนอมายังสายบังคับบัญชาทุกครั้ง รวมถึงได้รับการอนุมัติจากรอง ผบช.น.ที่กำกับดูแลงานด้านจราจร เพื่อต้องการหาผู้รับผิดชอบกรณีเกิดปัญหาร้องเรียน และเพื่อง่ายต่อการตรวจสอบในทุกมิติ
พ.ต.อ.ชัชชัย กล่าวอีกว่า สำหรับจุดตรวจของจราจรกลางจะเน้นย่านสถานบริการที่มีจำหน่ายแอลกอฮอล์ 4 จุดหลักๆ คือ
1.เลียบทางด่วน เอกมัย-รามอินทรา
2.เกษตร-นวมินทร์
3.ถนนลาดพร้าว4.มักกะสัน
ตั้งด่านทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์และวันพระใหญ่ หรือประมาณ 25 วันต่อเดือน ซึ่งตั้งแต่ที่ตนมาดำรงตำแหน่ง ผกก.กก.5 (ตรวจพิสูจน์,สถิติวิจัย) บก.จร. ได้ประมาณ 2 เดือน มีรายงานการจับกุมผู้กระทำความผิดมีแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดวันละประมาณ 30 ราย หรือเดือนละ 750 คน
ทั้งนี้หลักสำคัญของการตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ คือ ต้องตั้งกรวยทุกเลนเพื่อให้รถชะลอความเร็ว, มีการเปิดสัญญาณไฟที่รถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ,เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใส่เสื้อสะท้อนแสง และในกรณีที่คนเมาหรือคนมีอาวุธจะหลบหนี ก็มีแผงเหล็กกั้นไว้เพื่อป้องกันไม่ให้หลบหนีหรือขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจ และการส่งตัวผู้ต้องหาไปดำเนินคดีต้องนั่งรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และรถของผู้ต้องหาต้องมารับเองหรือแจ้งให้ญาติเป็นผู้มารับรถได้ที่ด่าน ไม่มีการจับกุมและนำขึ้นรถผู้ต้องหาไป นอกจากนี้ตนยังกำชับให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องให้รถทุกคันที่ตรวจ เปิดไฟภายในรถขณะถูกตรวจค้นด้วย เพื่อดูว่าในรถมีอาวุธปืน หรือสิ่งผิดกฎหมายด้วยหรือไม่