หากจะไม่ธรรมดาก็ตรงที่ ไพโรจน์ผู้นี้ ต้องนับว่าเป็นนักธุรกิจใหญ่ ที่มีบทบาทอย่างมากในการเมืองไทยหลายยุค แต่ที่แซบสุด เห็นจะเป็นยุค ของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 23 ซึ่งมีเรื่องราวเคล้าดราม่าอีกมากมาย
หรือแม้กระทั่งชีวิตของ "ไพโรจน์" เอง ก็ผ่านมรสุมมาหลากฤดู จนหลายคนเรียกเขาว่าแมว 9 ชีวิตก็มี !
ไพโรจน์เป็นคนบ้านฉาง นามสกุลเปี่ยมพงษ์สานต์ นั้นเป็นตระกูลเก่าแก่ มีชื่อเสียงของจังหวัดระยอง เขามีศักดิ์เป็นหลานของเสวตร เปี่ยมพงศ์สานต์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลัง แต่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่เสวตรมักจะบอกว่า ไม่เคยรู้จักกับไพโรจน์มาก่อน (จากผู้จัดการ)
ไพโรจน์จบอนุปริญญาจากวิทยาลัยครูพระนคร ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมศิลป์ วิทยาลัยครูพระนคร ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา ที่มหาวิทยาลัยบูรพา
และคู่ชีวิตของเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ "พิไลพรรณ" บุตรสาวของ ประทีป เชิดธรณินทร์ เลขานุการส่วนตัวของ พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย
ดังนั้น ถ้าจะนับว่า ชีวิตของไพโรจน์ล้วนเกี่ยวข้องกับแวดวงการเมืองมาตลอดก็ว่าได้ อย่างกับ พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร (ที่พ่อตาของเขาเป็นเลขาฯ) เวลานั้นไพโรจน์ก็เป็นเหมือน Think tank ของเขาไปในตัว
แต่ช่วงราวปี 2526-2529 ที่ พล.ต.อ.ประมาณ เปลี่ยนไปเป็นฝ่ายค้าน ว่ากันว่าช่วงนั้น ไพโรจน์มีหนี้สินกว่า 30-40 ล้านบาท จากการใช้เงินไปสนับสนุนการหาเสียง
กระนั้นก็ตาม ในวิกฤติมีโอกาสเสมอ ปรากฏว่าเมื่อถึงยุครัฐบาลน้าชาติ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ราวปี 2531 กับนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เกิดโครงการ "อีสเทิร์นซีบอร์ด" ทำให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ไพโรจน์ผู้ที่ตกอับ และเคยใช้เงินไปกับการซื้อที่ดินบริเวณบ้านฉาง ตั้งแต่กลางปี 2530 จนมีที่ดินไว้ในครอบครองกว่า 2,000 ไร่ ก็กลับมาผงาดอีกครั้ง ในฐานะประธานคณะกรรมการ บริษัท บ้านฉาง กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ที่มีโครงการพัฒนาที่ดินที่มีมูลค่านับหมื่นล้าน !
สำหรับบ้านฉางกรุ๊ปนั้น ชื่อเดิมคือ บริษัท บ้านฉางแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด จดทะเบียน 4 พฤษภาคม 2531 ทุนเริ่มแรก 1 ล้านบาท ต่อมาเพิ่มเป็น 798 ล้านและ 950 ล้าน ตามลำดับ
รายชื่อกรรมการเวลานั้น ที่คนไทยคุ้นเคย เช่น นิสสัย เวชชาชีวะ, สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง, สมคิด จาตุศรีพิทักษ์, พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ฯลฯ (ข่าวจากสำนักข่าวอิศรา)
ด้วยสไตล์ของไพโรจน์แบบนักค้าที่ดิน ประเภทซื้อมา-ขายไป ส่งผลให้เขาสามารถล้างหนี้ได้หมด จนได้ฉายาเจ้าพ่อบ้านฉาง !
ขณะเดียวกัน ช่วงรอยต่อระหว่างนั้น ไพโรจน์ยังเป็นถึงที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พล.อ.สุจินดา คราประยูร และยังสนิทแนบแน่นกับนักการเมืองกลุ่ม 16 นำโดย เนวิน ชิดชอบ อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ชีวิตมีขึ้นมีลง ต่อมาหลังประเทศเจอวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ผ่านมา 3 ปี เสี่ยไพโรจน์ถูกบริษัทเงินทุนสินอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท บ้านฉาง กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) กระทั่งถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลายในปี 2545
ช่วงนั้นเองที่ชีวิตของเขาได้เข้าไปเกี่ยวพันกับ ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ อัศวินคลื่นลูกที่ 3 และก็ต้องบอกเลยว่าเป็นสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นจนอาจเรียกได้ว่า คู่นี้เป็นทั้ง เจ้าหนี้ ลูกหนี้ เพื่อนสนิท ที่ปรึกษา
โดยช่วงที่เสี่ยไพโรจน์ตกอับ นายกฯ ทักษิณขณะนั้น ก็เข้ามาช่วยเหลือหลายอย่าง ซึ่งไพโรจน์เองก็ใช้ความถนัดกับการเป็นนายหน้าค้าขาย ดูแลและทำงานให้เสี่ยแม้วเรื่อยมา จนเสี่ยไพโรจน์หลุดจากการล้มละลาย เมื่อเดือนธันวาคม 2547 และก็ได้หันไปเปิดบริษัทเพื่อติดต่อทำธุรกิจในอังกฤษ และดูไบ
ไม่รู้ว่าจะด้วยบังเอิญหรือไม่ เพราะถึงวันที่อีกฝ่ายตกที่นั่งลำบาก "ทักษิณ" ต้องหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ วงในรู้กันดีว่าเป็นเสี่ยไพโรจน์นี่แหละ ที่ตามไปอยู่เป็นเพื่อน คอยเอาใจใส่ดูแลให้ความช่วยเหลือตลอด !
ทั้งการดูแลหาที่พักในดูไบ ตลอดจนการได้สัญชาติมอนเตเนโกรของทักษิณ และเรื่องอื่นๆ ที่ทั้ง "ลึก" และ "ลับ" เกินจะพูดได้หมด !
ทุกวันนี้ ยังไม่มีใครกล้าฟันธงว่าคู่นี้ยังรักกันดีหรือไม่ เพราะข่าวลือมีเยอะ แต่หากเอาเฉพาะเรื่องของเกมการเงินใน "สายลูกหนัง" เรียกได้ว่ากอดคอกันจนปิดดีลอย่างสวยงามมาแล้ว
โดยครั้งที่ ทักษิณโชว์เหนือด้วยการพยายามช็อปปิ้งสโมสรฟุตบอล ไพโรจน์ผู้นี้แหละเป็นล็อบบี้ยิสต์เจรจาให้ ทั้ง ทีมลิเวอร์พูล หรือ ทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้
แต่ดีลที่เกิดขึ้นจริง คือ "เรือใบสีฟ้า" แมนฯ ซิตี้ ที่เกิดในช่วงปี 2550 อันมีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 81.6 ล้านปอนด์ (ราว 5,103 ล้านบาท) โดยเสี่ยไพโรจน์ยังเข้าไปนั่งเป็นบอร์ดบริหารของทีมเรือใบสีฟ้าด้วย
เพียงปีเดียว เสี่ยไพโรจน์ดูแลจนทักษิณสามารถขายสโมสรต่อให้แก่กลุ่มนักลงทุนจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้ในราคา 150 ล้านปอนด์ (ราว 9,000 ล้านบาท) ฟันกำไรมาเหนาะๆ
ก็ไม่รู้ว่า หลังฉากดีลนี้นับแต่เริ่มจนจบคืออะไรที่มากกว่าเกมธุรกิจธรรมดา แต่หลังจากนั้นช่วงปี 2552 เสี่ยไพโรจน์ ก็เคยพยายามที่จะเข้าซื้อ สโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด หรือ "ขุนค้อน" มาแล้วด้วยมูลค่า 6,875 ล้านบาท
ตอนนั้นก็เป็นข่าวใหญ่จนสื่อพยายามขุดประวัติของ "เสี่ยบ้านฉาง" มาเล่าแล้วเล่าอีกเหมือนตอนนี้
แต่แม้ว่าดีลนั้นไม่ประสบความสำเร็จ เจอกลุ่มทุนจากไอซ์แลนด์ปาดหน้าเค้กไป แต่ชื่อชั้นเรื่องการเจรจาของเสี่ยบ้านฉาง ก็เข้าตา "เสี่ยวิชัย ศรีวัฒนประภา" เจ้าพ่อดิวตี้ฟรีเบอร์ 1 ของเมืองไทย กลุ่ม "คิงเพาเวอร์" ที่่ช่วยเจรจาให้ดีลสยายปีกฮุบ "สโมสรเลสเตอร์ซิตี้" ประสบความสำเร็จในปี 2553
ผ่านมาราวปี 2557 กับดีล สโมสรฟุตบอลเรดดิ้ง ของ คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์ ด้วยความที่สนิทสนมกับครอบครัวศรีวิกรม์มานานกว่า 30 ปี เสี่ยบ้านฉางก็จัดการดีลให้สำเร็จ !
สโมสรฟุตบอลเรดดิ้ง 75% เป็นของ คุณหญิงศศิมา ศรีวิกรม์, สัมฤทธิ์ ธนะกาญจนสุต และ นรินทร์ นิรุตตินานนท์ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2557 เป็นต้นมา
แต่รายนี้จบข่าวไปช่วงปีที่แล้ว เมื่อคุณหญิงศศิมาออกมายอมรับเองว่าไม่อาจนำพาสโมสรเรดดิ้ง ไปสู่เป้าหมายสำเร็จ และได้ขายต่อให้กลุ่มทุนจีนไป
มาถึงวันนี้ ถึงคราที่ "เสี่ยบ้านฉาง" จะขอชิมลางเป็นเจ้าสโมสรจริงๆ สักครั้ง โดยเข้าซื้อในนามของ แพน เอเชียน ฟันด์ ที่เบื้องต้นการเทคโอเวอร์ในขั้นแรกนี้ จะจ่ายเงินถึง 27 ล้านยูโร หรือ ราว 1,026 ล้านบาท ขณะที่จะวางเงินอีก 20 ล้านในอนาคต
เป็นอันว่า เวลานี้ ไพโรจน์ เปี่ยมพงษ์สานต์ น่าจะได้เป็นเจ้าของสโมสรดังในลีกกรีซได้สมใจ โดยมีกำหนดเวลาที่คาดว่าทุกอย่างจะเสร็จสมบูรณ์ภายในวันที่ 30 มิถุนายน ที่จะถึงนี้
ก็อย่างที่รู้ว่า เรื่องธุรกิจ ซื้อมาขายไป ใครๆ ก็หวังกำไรทั้งนั้น!
อย่าง "พานาธิไนกอส" ที่กำลังประสบวิกฤติทางการเงินอย่างหนัก หลังเพิ่งโดนสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) สั่งแบนในฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปทุกรายการเป็นเวลา 3 ปี ก็เพราะไม่สามารถสะสางปัญหาการเงินได้ตามเส้นตายที่กำหนด
ดังนั้น เมื่อฝ่ายหนึ่งอยากซื้อ อีกฝ่ายก็อยากขาย ดีลจึงเกิดขึ้น เหมือนกับดีลอื่นๆ ที่ "เสี่ยบ้านฉาง" ผู้นี้ ผ่านมาแล้วอย่างโชกโชนและช่ำชอง !