ตามกำหนดที่วางไว้ ยานอินไซท์จะเดินทาง 485 ก.ม. และลงจอดบนดาวแดงในวันที่ 26 พฤศจิกายน
LIFTOFF! Humanitys next mission to Mars has left the pad! @NASAInSight heads into space for a ~6 month journey to Mars where it will take the planets vital signs and help us understand how rocky planets formed. Watch: https://t.co/SA1B0Dglms pic.twitter.com/wBqFc47L5p
NASA (@NASA) 5 พฤษภาคม 2561
โครงการมูลค่า 993 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 31,776 ล้านบาท) มุ่งเพิ่มองค์ความรู้เกี่ยวกับสภาพชั้นในของดาวอังคาร เพื่อเตรียมส่งนักสำรวจไปที่นั่นภายในคริสต์ทศวรรษที่ 2030 หรือหลังปี 2573 และเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นว่าดาวเคราะห์หินรวมทั้งโลก ก่อกำเนิดเมื่อหลายพันล้านปีก่อนได้อย่างไร
อุปกรณ์สำคัญในภารกิจนี้คือ เครื่องตรวจวัดความไหวสะเทือน ผลิตโดยสำนักงานอวกาศฝรั่งเศส โดยหลังจากลงจอดแล้ว ยานจะยื่นแขนกลติดตั้งเครื่องวัดนี้บนพื้นผิวดาวอังคารโดยตรง
นักวิทยาศาสตร์นาซา ระบุว่าภารกิจนี้สำคัญยิ่งยวด เนื่องจากเรากำลังจะได้ยินเสียงหัวใจของดาวอังคารเต้นด้วยเจ้าเครื่องนี้
อีกอุปกรณ์สำคัญคือ เครื่องวัดความร้อนใต้พื้นผิว ที่สำนักงานอวกาศเยอรมนีร่วมกับสำนักงานอวกาศโปแลนด์ผลิตขึ้น โดยยานจะเจาะลงไปใต้พื้นผิวดาวอังคารประมาณ 3-5 เมตร ลึกกว่ายานสำรวจดาวอังคารลำอื่น 15 เท่า
อุณหภูมิ ณ จุดลงจอดของยานอินไซท์ คาดว่าอยู่ระหว่าง ลบ 100 ถึง ลบ 20 องศาเซลเซียส
ส่วนอุณหภูมิใกล้เส้นศูนย์สูตรดาวอังคารในฤดูร้อนตอนกลางวัน อาจแตะ 20 องศาเซลเซียส แต่ตอนกลางคืน จะติดลบ 100 องศาเซลเซียส
การศึกษาทำความเข้าใจอุณหภูมิบนดาวอังคารจึงมีความสำคัญมาก สำหรับการส่งนักสำรวจไปดาวอังคารภายในคริสต์ทศวรรษที่ 2030 หรือ 2573 เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานและอยู่รอดได้
ระบบพลังงานของยาน ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์และแบตเตอรีที่ออกแบบใช้งานนาน 26 เดือนตามเวลาบนโลก หรือ 1 ปีบนดาวอังคาร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาดว่าจะตรวจวัดแผ่นดินไหวได้ราว 100 ครั้ง