เพาะเลี้ยงสาหร่ายขาย สร้างรายได้

(18เม.ย.61) ต.ท่าข้าม อ.ปะเหลียน จ.ตรัง นายจิรวุฒิ วงศ์เทพวณิชย์ เกษตรกรเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นและสาหร่ายขนนก ส่งขายราคาสูงทำได้สารพัดเมนู และเป็นเมนูสำหรับคนรักสุขภาพ ซึ่งในปัจจุบันนิยมกินกันอย่างแพร่หลาย




สำหรับสาหร่ายพวงองุ่น ขายส่งกิโลกรัมละ 200 บาท และในตามท้องตลาด กิโลกรัมละ 350 บาทแบ่งขายเป็นกล่องขนาดละ 1 ขีด ขีดละ 35 บาท ส่วนสาหร่ายขนนก ขายส่งราคากิโลกรัมละ 100 บาทส่วนในท้องตลาดทั่วไปกิโลกรัมละ 170-200 บาท แบ่งขายเป็นกล่องๆละ 35 บาทเช่นกัน พร้อมกับมีน้ำจิ้มเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทำเอง แถมให้ในกล่องอีกด้วย



ด้านนายจิรวุฒิ วงศ์เทพวณิชย์ เกษตรกรเพาะเลี้ยง กล่าวว่า สำหรับสาหร่ายขนนกเป็นสาหร่ายที่ขึ้นในท้องถิ่นตามธรรมชาติแถบฝั่งทะเลอันดามันสามารถนำมาเลี้ยงในกระชังเพื่อง่ายต่อการจำหน่ายได้ เพราะหากไปหาสาหร่ายตามธรรมชาติ จะเก็บทีละมากๆไม่ได้หากขายไม่หมดในแต่ละวันก็จะเน่าเสียแต่หากนำมาเพาะเลี้ยงในกระชังต่อ สามารถเก็บขายได้ทั้งปี



ส่วนสาหร่ายพวงองุ่นซื้อพันธุ์มาจากศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งจังหวัดเพชรบุรีเพื่อนำมาเพาะเลี้ยง ใช้เวลาเลี้ยงอยู่ประมาณ 4 เดือน ก็จะได้ขนาดที่นิยมรับประทานคือ 3 นิ้ว ก็สามารถตัดนำมาพักไว้ประมาณ 1 สัปดาห์ และจะต้องเปลี่ยนน้ำทุกวัน และใส่อ็อกซิเจน เพื่อให้น้ำผ่าน เป็นการทำความสะอาดด้วยวิธีธรรมชาติเอาตะกอนออก ไม่มีสารเคมีใดๆเจือปนราคาขายส่ง กิโลกรัมละ 200 บาท

ซึ่งผู้รับซื้อก็จะนำไปขายต่อในราคากิโลกรัมละ 350 บาท ส่วนสาหร่ายขนนก ขายส่งอยู่กิโลกรัม 100 บาท โดยผู้รับซื้อนำไปขายต่อในกิโลกรัม 170-200 บาท

ทั้งนี้สาหร่ายพวงองุ่นจะมีรสเค็มสามารถรับประทานกับน้ำจิ้มเป็นอาหารได้เลยส่วนสาหร่ายขนนกจะมีความเค็ม รับประทานเป็นผักเคียง หรือเอาจิ้มกับน้ำพริกที่มีรสเปรี้ยวจะอร่อยมาก วิธีการเก็บสาหร่ายจะต้องใช้อุณหภูมิห้องนำไปแช่ตู้เย็นไม่ได้จะตายหมดส่วนลูกค้าขณะนี้ทำ


ประชาสัมพันธ์ผ่านทางเฟสบุ๊ค สามารถส่งขายทั้งในพื้นที่ เช่น ตามโรงพยาบาลต่างๆ เน้นคนรักสุขภาพ และต่างจังหวัด เช่น ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยการส่งทางไปรษณีย์ ซึ่งรายได้ต่อไม่ต่ำกว่าวันละ 1,000 บาท

และจากข้อมูลการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาพบว่าสาหร่ายขนนก และสาหร่ายพวงองุ่น อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เช่น ไอโอดีน แมกนีเซียม แคลเซียม โปแทสเซียม เหล็ก มีกรดอะมิโนจำเป็นหลายชนิดที่พืชบกไม่มี มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีเส้นใยสูง ไขมันต่ำ และไม่มีคอเลสเตอรอล จึงบริโภคได้ทุกเพศทุกวัย หรือแม้แต่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิต ทั้งยังมีการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามอีกด้วย