ครอบครัวขันแข็งเป็นชาวพื้นเมืองเชียงใหม่แต่กำเนิด ผืนป่าสีเขียวบนดอยสุเทพเป็นภาพจำที่เห็นมาทั้งชีวิต แต่วันนี้เปลี่ยนไปเมื่อมีการก่อสร้างบ้านพักที่เชิงดอย
นายจรัญบอวก่า เดิมทีที่ดินแปลงนี้เป็นของกรมป่าไม้ แต่ถูกอ้างว่า เป็นป่าเสื่อมโทรม กองทัพภาค 3 จึงขอใช้สถานที่เพื่อเป็นที่ฝึกกำลังพล
ปี 2500 กรมที่ดินได้ออกหนังสือสำคัญที่หลวง หรือ จำนวน 23,787 ไร่ เพื่อให้ใช้ในราชการกระทรวงกลาโหม
40 ปี ต่อมา สำนักอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ได้ทำเรื่องขอแบ่งใช้ประโยชน์ เป็นครั้งแรก เมื่อวัน 25 กรกฎาคม 2540 โดยขอใช้พื้นที่ด้านหลังของ หน่วยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 7 เชียงใหม่ เนื้อที่ 106 ไร่ เพื่อก่อสร้างบ้านพักและอาคารที่ทำการของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเลือกจากพื้นที่ ที่ยังไม่มีหน่วยงานใดๆ ยื่นขอใช้ และไม่ใช้ประโยชน์
แต่ขณะนั้น กองทัพภาค 3 ตอบ ปฏิเสธ
ต่อมาปี 2547 สำนักอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ขอแบ่งใช้ประโยชน์พื้นที่บางส่วนตาม ผังแปลงฉบับนี้ จำนวน 147 ไร่ 3 งาน 41 ตารางวา จากกองทัพภาค 3 เป็นการยื่นขอใช้ที่ดิน ครั้งที่ 2 ซึ่งตรงกับช่วง ที่ พลเอก ชัยสิทธ์ ชินวัตร เป็น ผบ.ทบ.
กองทัพภาค 3 อนุมัติ ให้สำนักอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ใช้พื้นที่ดังกล่าว
ปี 2548 สำนักอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ย้ายที่ทำการจากกรุงเทพฯ ไปที่ เชียงใหม่ ยังไม่มีบ้านพักข้าราชการตุลาการ และข้าราชการศาลยุติธรรม สำนักงานศาลยุติธรรม จึงต้องการ ใช้ที่ดินผืนนี้ เพื่อก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ประกอบด้วย บ้านพัก 47 หลังและอาคารชุด 13 อาคาร
8 ปีต่อมา ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้รับงบประมาณ 1 พันล้านบาท ในช่วงของ รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงเริ่มเปิดพื้นที่ถากป่าก่อสร้างที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 และบ้านพัก อาคารชุด สำหรับข้าราชการตุลาการต่อมา ซึ่งขณะนี้คืบหน้าไปกว่า ร้อยละ 80 ปี ท่ามกลางเสียงค้านของชาวเชียงใหม่ ตั้งแต่วันแรกที่เอาแมคโคเข้าไปถากดอย
ผู้ประสานงานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ดอยสุเทพ บอกว่า แม้การก่อสร้างจะเป็นไปอย่าถูกกฎหมาย แต่ไม่เหมาะสม
สถานการณ์เริ่มร้อนแรงมากขึ้นเมื่อมีการนัดเจรจา 3 ฝ่ายเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา แต่ตัวแทนศาลไม่เข้าร่วม อ้างว่าไม่ทราบการนัดหมาย นำมาสู่การเตรียมรวบรวมรายชื่อถวายฎีกาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อให้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัย