ผู้หญิงคนนี้หาเช่าชุดไทยให้ทั้งครอบครัวสวมใส่เพื่อเข้าไปเที่ยวชมและถ่ายรูปในวัดไชยวัฒนาราม เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก "ภารดี บุญชู" บอกว่าไม่บ่อยครั้งที่จะมีโอกาสได้ใส่ชุดไทยกันทั้งครอบครัว การได้รับชมละครเรื่องนี้ เหมือนปลุกความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ที่มีรากเหง้าและวัฒนธรรมอันรุ่งเรือง
ความนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนแบรนด์สินค้าต่างๆ นำกระแสละครไปทำเรียลมาเก็ตติ้ง ซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนัก รวมถึงการใช้สรรพนามบุรุษที่ 2 ว่า "ออเจ้า" ก็กลายเป็นวลีฮิตทั่วบ้านทั่งเมือง จนรองนายกรัฐมนตรี วิษณุ เครืองาม ถึงกับต้องตอบคำถามนักข่าว
นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันโอชา ก็ไม่ยอมตกกระแส ถึงกับหยิบยกไปคุยในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน"
"หลายคนอาจมองว่าเป็น กระแส หรือ ลมเพ ลมพัด ไม่นานก็จางหาย แต่ผมมั่นใจว่า อยู่ในสายเลือด ของเราทุกคน ทั้งอุดมการณ์ ความรักชาติ คุณธรรม จริยธรรม อะไรก็แล้วแต่ รวมความไปถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของประเทศ " พลเอกประยุทธ์ กล่าว
หลายคนอาจตั้งคำถามว่าทำไม ละครบุพเพสันนิวาส จึงกลายเป็นกระแสฟีเว่อร์ ปัจจัยเกิดจากละครเรื่องนี้เพียงอย่างเดียวหรือไม่ และถ้ากระแสเกิดจากละครอย่างเดียวจริงๆ คำถามก็คือ ทำไมละครเรื่องนี้ถึงทรงอิทธิพลมากขนาดนี้
"อรุโณชา ภาณุพันธุ์" กรรมการผู้จัดการ บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด ผู้คร่ำวอดในวงการละครโทรทัศน์ไทยมาหลายสิบปี สร้างละครมาหลายเรื่อง แต่ละครบุพเพสันนิวาสน่าจะเป็นครั้งแรกที่เป็นละครย้อนยุคไปสู่สมัยอยุธยาในช่วงสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่ได้รับความนิยมแบบเหนือความคาดหมาย
และถ้าหากผู้ชมละครเรื่องนี้สังเกตให้ดี จะพบว่า บุพเพสันนิวาสเป็นละครไทยที่ฉีกแนวไปมาก คือไม่มีบทตัวร้าย ตัวอิจฉา ลักษณะคล้ายคลึงกับซีรีส์เกาหลี อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ถูกจริตคนไทย ซึ่งตัวละครทุกตัวกลมๆ มีความเป็นมนุษย์สูง ความกลมๆ ของตัวละครที่ว่า นั้นก็คือ ทุกคนมีดี มีเลว มีที่ไปที่มาของพฤติกรรมที่แสดงออก
ผู้ผลิตละครเรื่องนี้ บอกว่า ความความท้าทายคือการแปลงจากบทประพันธ์มาเป็นบทโทรทัศน์ โดยผู้เขียนบทละครต้องศึกษาข้อมูลนานถึง 2 ปี เพื่อให้ภาษาพูดตรงกับยุคนั้น ให้ตัวละครพูดภาษาสมัยปัจจุบัน ที่เข้าใจง่ายกับคนรุ่นใหม่
ความสำเร็จของละครบุพเพสันนิวาส ก็ทำให้สังคมจับตาไปที่เจ้าของบทประพันธ์อย่าง จันทร์ยวีร์ สมปรีดา บัณฑิตคณะโบราณคดี วิชาเอกประวัติศาสตร์ศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปากร เจ้าของนามปากกา "รอมแพง"
เธอยอมรับว่า คาดไม่ถึงต่อกระแสตอบรับ หลังจากนิยายของเธอถูกนำไปสร้างเป็นละคร "รอมแพง" อธิบายถึงความน่าสนใจในเนื้อเรื่องว่า คงอยู่ที่ตัวละครในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ ได้ย้อนไปในอดีต เข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์ไทยในสมัยอยุธยา
ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสละคร "บุพเพสันนิวาส" ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ ละครเกาหลีใต้ "แดจังกึม" ที่เคยออกอากาศในไทย เมื่อปี 2549 ความสำเร็จของ "แดจังกึม" คือการส่งออกวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ได้อย่างเป็นรูปแบบมากที่สุด
ไม่เพียงออกอากาศที่ไทยเท่านั้น แต่ในอีกหลายประเทศ เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และ ฟิลิปปินส์ ละครแดจังกึมได้ปลุกกระแสคลั่งไคล้วัฒนธรรมเกาหลีไปทั่วเอเชียจนรัฐบาลเกาหลีต้องซื้อโรงถ่ายละครเรื่องนี้ จากบริษัท MBC ผู้ผลิตละคร เพื่อมาปรับปรุงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว
แดจังกึม เป็นความตั้งใจของรัฐบาลเกาหลีใต้ไว้ตั้งแต่แรกที่จะสะท้อนความงดงามทางวัฒนธรรม ผสมกับความเป็นมืออาชีพในอุตสาหกรรมละคร จนประสบความสำเร็จ
บุพเพสันนิวาส กับ แดจังกึม มีความคล้ายกัน ตรงที่ ตัวละครมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ และได้รับความนิยมจากคนในประเทศอย่างล้นหลาม ก่อนจะมีบริษัททีวีในต่างประเทศซื้อลิขสิทธิ์ไปออกอากาศ ผลที่ได้คือการท่องเที่ยวในเกาหลีใต้เติบโตทำรายได้เข้าประเทศมหาศาล
จากความสำเร็จของแดจังกึม และกระแสนิยมของบุพเพสันนิวาส กระทรวงวัฒนธรรม โดยรัฐบาลยุค คสช. ก็ฝันว่าจะส่งออกวัฒนธรรมได้สำเร็จอย่างเกาหลีเคยทำมา โดยยินดีสนับสนุนเอกชนผู้ผลิตละครอย่างเต็มที่
แต่ในมิติการเมืองแล้ว คำถามก็คือ ปรากฎการณ์ตื่นละครสะท้อนอะไรในสังคมไทย อาจารย์สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ "พิพัฒน์ กระแจะจันทร์" เขียนบทวิเคราะห์ปรากฏการณ์นี้ผ่าน เว็บไซต์ ของ บีบีซี ไทย ระบุว่า "ทุกครั้งที่ชาติสั่นคลอนจากการเมือง สังคมเกิดความโกลาหล ละครและภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์จะกลับมารุ่งเรืองเสมอ"
ตัวละครหลักของบุพเพสันนิวาส ไม่ได้เป็นกษัตริย์หรือชนชั้นสูง ที่จับต้องไม่ได้ แต่เป็นบุคคลที่มีตัวตนจริงทางประวัติศาสตร์ในยุครุ่งเรือง ผู้เขียนสร้างสรรค์เรื่องได้อย่างมีสีสัน ท่ามกลางสภาพสังคมและการเมืองในปัจจุบันที่ยุ่งเหยิง ขาดความมั่นคง และเชื่อมั่นต่อรัฐบาล ยากต่อการทำนายอนาคตของประเทศ ภาวะเช่นนี้ก่อให้เกิดความรู้สึกของการโหยหาอดีต
การดูละครย้อนยุคสักเรื่องหนึ่ง จึงทำให้ในทางความรู้สึกสามารถหลีกเร้น กลับไปสู่อดีต เพราะอย่างน้อย อดีตก็เป็นสิ่งที่มั่นคงกว่าปัจจุบันและอนาคต