เฟดมีมติเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.50-1.75%

ขณะที่ประธานเฟดห่วงนโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ สร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจ โดยชี้ว่า หากนโยบายการค้ามีการนำมาใช้อย่างต่อเนื่องในอนาคต ก็อาจจะสร้างความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยอาจส่งผลให้เกิดการตอบโต้ทางการค้าเป็นวงกว้าง ในเวลาเดียวกันยอมรับว่า ราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น แต่เชื่อยังคงไม่สร้างความเสี่ยงต่อระบบการเงินสหรัฐ

ทางด้านธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร หรือ Reverse repo ในวันนี้ (ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นประเภทอายุ 7 วัน เพิ่มขึ้น 0.05% ที่ 2.55% ในวันนี้ จากระดับ 2.50% ถือเป็นการปรับตัวตามเฟดที่ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25%



1. การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หรือ FOMC มีมติเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.50-1.75% ตามคาดการณ์ของตลาด พร้อมกับส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ โและคาดว่าจะมีการปรับขึ้น 3 ครั้งในปี 2019 และจำนวน 2 ครั้งในปี 2020 หลังประชุมกันเป็นเวลา 2 วันได้เสร็จสิ้นลงเมื่อวันพุธ โดบมีเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดร่วมประชุมเป็นครั้งแรก

ทั้งนี้ แถลงการณ์ FOMC หลังการประชุมที่เสร็จสิ้นลงเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ชี้ว่า ตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง และกิจกรรมทางเศรษฐกิจปรับตัวขึ้นในระดับปานกลาง ส่วนการขยายตัวของการจ้างงานในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และอัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำ



2. FOMC ยังระบุถึงความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการจ้างงานให้เติบโตอย่างเต็มที่และหนุนราคาให้มีเสถียรภาพ โดยที่เงินเฟ้อเทียบรายปีคาดว่าจะปรับตัวขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ที่ระดับ 2%

ทั้งนี้ เงินเฟ้อรายปี 2018 ทั้งเงินเฟ้อทั่วไป และเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงาน ยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่า 2% ซึ่งเฟดคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อที่เป็นทางการที่ระดับ 1.9% ไว้ก่อนหน้านี้ แต่ทาง FOMC ยังคงจับตาสัญญาณบ่งชี้เงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด ส่วนคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อในปี 2019 และปี 2020 จะอยู่ที่ระดับ 2.1% ต่อปี



3. ขณะที่แนวโน้มความเสี่ยงในระยะใกล้ของเศรษฐกิจยังคงมีความสมดุล ซึ่งเฟดได้มีการปรับเพิ่มคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วง 2 ปี โดยในปี 2018 GDP สหรัฐ มีการปรับขึ้นจากอัตราการขยายตัวที่ 2.5% เป็น 2.7% และในปี 2019 ปรับจาก 2.7% เพิ่มขึ้นเป็น 2.9%

ส่วนในปี 2020 จีดีพีสหรัฐจะชะลอตัวลงที่ 2.0% และในระยะยาวจะขยายตัวที่ระดับเฉลี่ย 1.8% ต่อปี

ขณะที่อัตราการว่างงานในปีนี้ มีแนวโน้มปรับลดลงที่ 3.8% เทียบกับสิ้นปีที่แล้วซี่งอยู่ที่ระดับ 4.1% ถือว่าเป็นการปรับตัวที่ลดอย่างต่อเนื่องจากที่เฟดที่กำหนดเป้าหมายลดอัตราการว่างงานลงที่ 4.5%



4. ประธานเฟดห่วงนโยบายการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างความวิตกกังวลให้กับภาคธุรกิจ โดยเจอโรม พาวเวล กล่าวแถลงข่าวว่า กรรมการเฟดหลายคนได้หยิบยกประเด็นภาษีศุลกากรขาเข้าขึ้นมาพูดคุยในการประชุมครั้งนี้ด้วย
ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าอาจจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่หลังจากที่ได้มีการพูดคุยกับบรรดาผู้นำในภาคธุรกิจทั่วประเทศ พบว่านโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐได้กลายมาเป็นปัจจัยที่สร้างความวิตกกังวลต่อภาคธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม กรรมการ FOMC ของเฟดกังวลว่า หากนโยบายการค้ามีการนำมาใช้อย่างต่อเนื่องในอนาคต ก็อาจจะสร้างความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ โดยอาจส่งผลให้เกิดการตอบโต้ทางการค้าเป็นวงกว้าง



5. ทั้งนี้ ประธานเฟดได้กล่าวถึงราคาสินทรัพย์ในสหรัที่ฐได้ปรับตัวสูงขึ้น แต่ยังคงคาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบการเงินมากนัก

อย่างไรก็ตาม การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ได้ทำให้ราคาสินทรัพย์ทางการเงินของสหรัฐปรับตัวลดลง โดยที่ทิศทางของเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐร่วงลงในวันพุธ สวนทางการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยที่ Dollar Index อ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 89.69 หลังจากที่ขึ้นไปที่ 90.40 และง Bond Yield รัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีลงมาที่ 2.88%

ส่วนการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท โดยที่ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 24,682 ลดลง 44.96 จุด หรือ 0.18% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,711 ลดลง 0.18% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,345 ลดลง 0.26%

ทางด้านธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร หรือ Reverse repo ในวันนี้ (ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นประเภทอายุ 7 วัน เพิ่มขึ้น 0.05% ที่ 2.55% ในวันนี้ จากระดับ 2.50% ถือเป็นการปรับตัวตามเฟดที่ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25%