svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

สั่งคืนทรัพย์สินคืน บ.โอเอฯ ไม่เอี่ยวทัวร์ศูนย์เหรียญ

23 กุมภาพันธ์ 2561
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ศาลยกคำร้องอัยการฟ้องริบทรัพย์ "ตระกูลโรจน์รุ่งรังสี ผู้บริหาร บ.โอเอ" อ้างเอี่ยวฝูอัน-ซินหยวน ทำทัวร์ศูนย์เหรียญ ชี้หลักฐานไม่ชัดผิดฟอกเงิน ลุ้นใช้สิทธิอุทธรณ์


ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (23 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ก.พ.61 ที่ผ่านมา ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาคดีฟองเงิน หมายเลขดำ ฟ.223/2559 และ ฟ.231/2559 ที่พนักงานอัยการยื่นคำร้อง ขอให้ทรัพย์สินของ นายธงชัย โรจน์รุ่งรังสี ,นางนิสา โรจน์รุ่งรังสี ,นายวสุรัตน์ โรจน์รุ่งรังสี , บริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด , บริษัท รอยัล เจมส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด , บริษัท รอยัลไทย เฮิร์บ จำกัด , บริษัท บางกอก แฮนดิคราฟท์ เซ็นเตอร์ จำกัด , บริษัท รอยัล พาราไดซ์ จำกัด , น.ส.สายทิพย์ โรจน์รุ่งรังสี ,นายโอฬาร โรจน์รุ่งรังสี และนายชาติชัย โรจน์รุ่งรังสี ผู้คัดค้านที่ 1-11 ซึ่งประกอบธุรกิจเช่ารถบัสและร้านค้า ที่ถูกกล่าวหาเกี่ยวข้องธุรกิจนำเที่ยวชาวจีนทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ให้ตกเป็นของแผ่นดินตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542

โดยทรัพย์สินนั้น ประกอบด้วย เงินฝากในบัญชีธนาคาร รวม 76 รายการ ราคาประเมินทั้งสิ้น 3,654,697,354.46 บาท กับ เงินวางประกันซื้อขายทองคำแท่ง เงินฝากในบัญชี และหุ้นกับเงินคงเหลือในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทหลักทรัพย์ 7 รายการ ราคาประเมิน 203,031,134.87 บาท พร้อมดอกผล

เนื่องจาก ปปง.ได้ตรวจสอบธุรกรรมและทรัพย์สินของบริษัท ฝูอัน ทราเวล จำกัด กับพวก พบว่ามีพฤติการณ์เกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานอั้งยี่ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐาน ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 3 (10) จึงได้มีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำผิดของบริษัท ฝูอันฯ และผู้คัดค้านทั้งหมดไว้ชั่วคราวระหว่างการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการประกอบกิจการนำนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เข้ามาเที่ยวในประเทศไทย ในราคาต่ำกว่าทุนหรือทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่มีรายได้จากเงินค่าตอบแทนลูกทัวร์ซื้อสินค้า ในราคาที่กำหนดสูงไว้กว่าความเป็นจริง ซึ่งมีกลุ่มของผู้คัดค้านเป็นกรรมการผู้มีอำนาจและผู้ถือหุ้นในบริษัทสินค้าและบริษัทที่ให้บริการเช่ารถบัส อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ.2551 มาตรา 24 , 32 กรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าบริษัท ฝูอันฯ กับกลุ่มผู้คัดค้าน มีพฤติการณ์ตามความผิดมูลฐาน ปปง.จึงมีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินไว้

ขณะที่ "กลุ่มผู้คัดค้าน" ยื่นคำคัดค้านว่า ไม่ได้มีพฤติการณ์กระทำผิดฐานเป็นอั้งยี่ และไม่ได้รู้เห็นเรื่องการสวมบัตรประจำตัวประชาชนของบุคคลอื่น รวมทั้งไม่รู้เห็นเรื่องการจดทะเบียนบริษัท ฝูอันฯ และบริษัท ซินหยวน ทราเวล จำกัด รวมทั้งไม่ได้ประกอบธุรกิจ นำเที่ยวในประเทศไทยในราคาต่ำกว่าทุนกับไม่ได้เข้าไปมีส่วนเห็นบริหารจัดการธุรกิจนำเที่ยวหรือช่วยเหลือให้การสนับสนุนกระทำความผิดดังกล่าว แต่ผู้คัดค้านประกอบธุรกิจให้เช่ารถบัสโดยสาร และจำหน่ายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยวโดยสุจริต ซึ่งก่อตั้งบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัด ดำเนินการซึ่งบุคคลทั่วไปรวมทั้งบริษัทนำเที่ยวสามารถขอเช่ารถบัสและแวะซื้อสินค้าในเครือของผู้คัดค้านได้ โดยกลุ่มผู้คัดค้านไม่มีอิทธิพลหรืออำนาจบังคับให้บริษัทนำเที่ยวกำหนดเส้นทางการนำเที่ยวได้ เพียงแต่พนักงานขับรถจะขับรถไปตามเส้นทางและสถานที่ท่องเที่ยวที่กำหนด ซึ่งหากขับรถออกนอกเส้นทางผู้คัดค้านก็จะเรียกค่าเช่ารถในส่วนนอกเส้นทางเพิ่มเติมจากบริษัทนำเที่ยว

ส่วนการจ่ายค่าตอบแทนหรือค่าน้ำมันให้กับบริษัทนำเที่ยวอัตราร้อยละ 20-40 และจ่ายให้มัคคุเทศก์อัตรา ร้อยละ 3-5 ของยอดขายสินค้านั้น เป็นการจ่ายทางการค้าและถือเป็นประเพณีปฏิบัติที่มีมานานทั้งในและต่างประเทศ และผู้คัดค้านก็ไม่เคยนิติสัมพันธ์ หรือ ร่วมกระทำการใดกับผู้บริษัท ฝูอันฯ และบริษัทซินหยวนฯ และไม่เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงหรือใช้เอกสารปลอม ในการจดทะเบียนตั้งบริษัท ขณะที่ธุรกิจของผู้คัดค้านก็ไม่เคยถูกนักท่องเที่ยวหรือหน่วยงานของรัฐร้องเรียน ตักเตือน หรือลงโทษตาม พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวฯ อีกทั้งการประกอบธุรกิจของผู้คัดค้านก็ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายดังกล่าว ที่จะต้องให้ธุรกิจเช่ารถบัสหรือการขายสินค้าเป็นธุรกิจนำเที่ยวที่ต้องยื่นใบขออนุญาตประกอบการ

โดย "ศาล" ไต่สวนอัยการผู้ร้องและผู้คัดค้านแล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติว่า บริษัท ฝูอันฯ และบริษัท ซินหยวนฯ จดทะเบียนประกอบธุรกิจนำเที่ยว ตาม พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวฯ แต่ปัจจุบันนายทะเบียนได้เพิกถอนการจดทะเบียนแล้ว ส่วนกลุ่มผู้คัดค้านบางคนถูกฟ้อง เป็นจำเลยในคดีอาญา ร่วมกันฟอกเงิน ในคดีหมายเลขดำ ฟย.46/2559 ซึ่งศาลอาญาได้มีคำพิพากษายกฟ้อง ซึ่งการกระทำของผู้คัดค้านเป็นความผิดในคดีนี้หรือไม่ ตามทางไต่สวนฟังได้ว่า การดำเนินธุรกิจของผู้คัดค้านเป็นการให้เช่ารถบัสเท่านั้น จึงไม่อยู่ภายในบทบังคับของพ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวฯ พยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่ากลุ่มผู้คัดค้านเป็นผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวหรือร่วมกับบริษัท ฝูอันฯ และบริษัท ซินหยวนฯ

สำหรับทรัพย์สินที่ถูกยึดและอายัดไว้นั้น จะเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานอั้งยี่ ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานที่จะต้องให้ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่ ศาลเห็นว่า ผู้ร้องมีพยานเพียง 3 ปากเบิกความเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของ บริษัท ฝูอันฯ และบริษัท ซินหยวนฯ กับกลุ่มผู้คัดค้าน แต่พยานเหล่านั้นก็ไม่ได้ลงไปตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของผู้พิพากษาด้วยตนเอง อีกทั้งไม่เคยได้รับเรื่องร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวหรือเจ้าหน้าที่กรมการท่องเที่ยวแต่อย่างใด แม้ผู้ร้องจะมีเอกสารอ้างว่ามีการร้องเรียนผ่านสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย แต่เอกสารดังกล่าวก็เป็นเพียงการสรุปจำนวนและประเภทข้อพิพาทของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งไม่เกี่ยวกับกลุ่มของผู้คัดค้านแต่อย่างใด นอกจากนี้พยานทั้งสามปากก็เพียงแต่พบธุรกรรมทางการโอนและจ่ายเงินระหว่างผู้คัดค้านเท่านั้น ส่วนเอกสารต่างๆที่ตำรวจยึดได้จากการตรวจค้นบริษัท ฝูอันฯ และบริษัทซินหยวนฯ ก็ไม่ปรากฏว่ามีเอกสารใดเป็นเอกสารที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามกฎหมาย

ขณะที่พยานผู้ร้องปากอื่นทั้งกลุ่มข้าราชการ , กลุ่มประกอบธุรกิจนำเที่ยว , กลุ่มมัคคุเทศก์และพยานของผู้คัดค้านต่างเบิกความทำนองเดียวกันว่าบริษัท ฝูอันฯ และบริษัท ซินหยวนฯ เป็นเพียงคู่ค้าทางธุรกิจกันเท่านั้นไม่ได้ร่วมประกอบธุรกิจนำเที่ยวด้วยกันกับผู้คัดค้าน จึงยังฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านทั้งหมดร่วมกับบริษัททั้งสองดังกล่าวประกอบธุรกิจนำเที่ยวผิดกฎหมาย

อีกทั้งพยานที่ผู้ร้องนำสืบมา ก็ไม่ได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าหากนักท่องเที่ยวไม่ซื้อสินค้าแล้วจะถูกกลั่นแกล้ง ดังนั้นจึงยังฟังไม่ได้ว่าร้านค้าในเครือของผู้คัดค้านรับเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนหรือมีการกลั่นแกล้งนักท่องเที่ยวที่ไม่ซื้อสินค้าภายในร้าน และฟังไม่ได้ว่ามีมัคคุเทศก์ชาวต่างชาติเข้ามาทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์แล้วเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้คัดค้าน พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบมาจึงฟังไม่ได้ว่าผู้คัดค้านร่วมกันหรือกระทำการบังคับขู่เข็ญกำหนดเส้นทางนำเที่ยว และให้พานักท่องเที่ยวไปซื้อสินค้าในร้านค้าที่กำหนดรวมทั้งไม่ได้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว ฝ่าฝืนต่อระเบียบและกฎหมายที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

"ศาล" จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของอัยการ และให้คืนทรัพย์สินทั้งหมดแก่เจ้าของ พร้อมทั้งยกเลิกวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาที่เคยสั่งไว้ทั้งหมดด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำพิพากษาดังกล่าวยังเป็นเพียงคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งอัยการผู้ร้องยังสามารถยื่นอุทธรณ์คดีได้อีกภายใน 30 วันนับจากวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา คือวันที่ 21 ก.พ. 61 ทั้งนี้สำหรับคดีอาญาที่ศาลอาญา เคยพิพากษายกฟ้องไว้เมื่อปี 2560 นั้น อัยการได้ยื่นอุทธรณ์คดีแล้ว เมื่อวันที่ 23 พ.ย.60 ซึ่งขณะนี้คดีอาญาอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์

logoline