svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

กระแสคาดประธานเฟดคนใหม่ อาจเปลี่ยนนโยบายการเงิน

21 กุมภาพันธ์ 2561
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

กระแสคาดการณ์ว่าเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดคนใหม่อาจจะมีปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินทั้งแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ย และการลดภาระ QE ในงบดุลในปีนี้ หลังจากที่นักวิเคราะห์และผู้บริหารกองทุนขนาดใหญ่เริ่มประเมินความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นวอลล์วตรีทจะมีการปรับฐานในปีนี้ระหว่าง 10-20%


เนื่องจากการดูดซับเม็ดเงินของเฟดในแต่ละเดือนจสมเป้าหมาย จะส่งผลต่อสภาพคล่องในตลาดการเงินที่จะหดตัวลง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ และจะส่งผลต่อเนื่องในความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น


ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ยืนเหนือ 2.90% ยังคงส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทซบเซาลง โดยดาวโจนส์ร่วงลงมากกว่า 254 จุดในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา


1. เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่อาจจะมีปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินทั้งแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ย และการลดภาระ QE ในงบดุลใน 2018 ปีนี้ หลังจากที่นักวิเคราะห์และผู้บริหารกองทุนขนาดใหญ่เริ่มประเมินความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นวอลล์วตรีทจะมีการปรับฐานในปีนี้ระหว่าง 10-20%


ท่ามกลางความกังวลว่า การดูดซับเม็ดเงินของเฟดในแต่ละเดือนตามเป้าหมาย จะส่งผลต่อสภาพคล่องในตลาดการเงินที่จะหดตัวลง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ และจะส่งผลต่อเนื่องในความเสี่ยงของการลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเพิ่มมากขึ้นในปีนี้


โดยที่เจอโรม พาวเวล กล่าวในสัปดาห์ที่แล้วว่า เฟดจะยังคงจับตาความเสี่ยงที่อาจจะกระทบต่อเสถียรภาพของตลาดการเงิน โดยจะสร้างความมั่นใจว่านโยบายของเฟดจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้




2. ทั้งนี้ เฟดมีภาระ QE ที่เป็นเม็ดเงินเพิ่มขึ้นถึง 4 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2014 จากการเข้าทุ่มซื้อหุ้นและบอนด์อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินสหรัฐในช่วงปี 2008-2009 หากมีงบการดำเนินการลดงบดุลของเฟดเดือนละ 20,000 ล้านดอลลาร์ ก็อาจจะต้องใช้เวลาถึง 60 เดือนในการลดงบดุลให้ได้ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์


แต่ก็มีกระแสข่าวชี้ว่า เฟดอาจจะเพิ่มช่องทางลดงบดุลในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นถึงเดือนละ 80,000 ล้านดอลลาร์ในชาวงกลางปี 2019 จะยื่งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศของตลาดหุ้น


นอกจากนี้ เจอโรม พาวเวล ได้คัดเลือกผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายการเงิน 2 คนให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษา คือ จอน เฟาสต์ ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้นส์ โดยก่อนหน้านี้ เขาเคยดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอาวุโสให้กับอดีตประธานเฟดอย่างเบน เบอร์นันเก้ และเจเน็ต เยลเลน


และยังได้เลือกแอนทูลิโอ บอมฟิม ซึ่งเคยเป็นนักเศรษฐศาสตร์ประจำธนาคารกลางสหรัฐช่วงปี 1992-2003 และกลับมาทำงานอีกครั้งในฐานะที่ปรึกษาอาวุโสในปี 2016




3. ขณะที่ดาวโจนส์ปิดร่วงลงเมื่อวันอังคาร เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากหุ้นวอลมาร์ทที่ดิ่งลงกว่า 10% หลังจากบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ได้เปิดเผยกำไรไตรมาส 4/2017 ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ รวมทั้งการที่นักลงทุนจับตารายงานการประชุมประจำเดือนมกราคมของเฟดในวันนี้ เพื่อจับสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 24,964 ร่วงลง 254.63 จุด หรือ 1.01% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,716 ลดลง 15.96 จุด หรือ 0.58% และ NASDAQ ปิดที่ 7,234 ลดลง 5.16 จุด หรือ 0.07%



4. บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังคงได้รับแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) อายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 2.904% ขณะที่บอนด์ยีลด์อายุ 30 ปี ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.152% เมื่อวันอังคาร


โดยที่การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนบอนด์รัฐบาลสหรัฐยังส่งผลให้บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทซบเซาลง



5, ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบวันนี้ นำโดย NIKKEI 225 ญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 17.32 จุด หรือ 0.08% ดัชนี HSI ฮ่องกงเพิ่มขึ้น 176.89 จุด หรือ 0.57% ดัชนี KOSPI เกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 2.61 จุด หรือ 0.11% ดัชนี FTSE STI สิงคโปร์ลดลง 2.19 จุด หรือ 0.06% ดัชนี FBMKLCI มาเลเซียลดลง 2.48 จุด หรือ 0.13%


สำหรับหุ้นไทยยังยีนได้ในแดนบวกที่ระดบ 1,805.96 เพิ่มขึ้น 4.94 จุด หรือ 0.27% ส่วนตลาดหุ้นจีนยังคงปิดทำการวันนี้เนื่องในวันตรุษจีน


ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟดเมื่อวันที่ 30-31 มกราคม ที่อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

logoline