นางบุญมาก เปิดเผยว่า เมื่อปี 2555 ตนเองได้ไปขอรายชื่อเจ้าของนาที่อยู่ติดกัน ประมาณ 10 ราย เป็นที่ของ สปก. 3 ราย ที่เหลือเป็นที่มีโฉนด เพื่อทำถนนเข้านา เพื่อประโยชน์ของแต่ละคน พอได้รายชื่อมาครบ จึงนำไปยื่นที่สำนักงานการปฎิรูปที่ดิน จ.นครนายก (สปก.) จากนั้น สปก.จ.นครนายก แจ้งมาว่า เจ้าของที่ดิน ต้องมาเซ็นต์ชื่อด้วยตัวเอง เมื่อทุกคนมาเซ็นต์ชื่อ เจ้าหน้าที่ สปก.จ.นครนายก แจ้งว่าได้ส่งเรื่องไปให้ อบต.ปากพลี พื้นที่ ดำเนินการแล้ว
ผ่านมา 5 ปี จึงมีคำสั่งออกจากจังหวันครนายก ให้ขุดดินทำถนนได้ (งบประมาณผ่าน) แต่ด้วยขั้นตอนยังไม่เรียบร้อย ยังไม่มีการเซ็นต์อนุมัติจากผู้มีอำนาจในพื้นที่ ยังไม่มีการประชุม
แต่ทำไม อบต.ปากพลี จึงส่งผู้รับเหมาไปขุดดิน เพื่อทำถนน ทั้งที่ยังไม่มีคำสั่งให้ดำเนินการขุด ซโดยการขุดดิน ผู้รับเหมาได้ขุดฝั่งที่นาของนางบุญมากฝั่งเดียว ซึ่งไม่ถูกต้อง ขุดไปกว้าง 3 วา ยาว 250 เมตรเพื่อทำถนนยาวกว่า 300 เมตร
เมื่อนางบุญมาก มาดูที่นาของตนเอง เห็นผู้รับเหมากำลังขุดดิน จึงขอให้เลิกขุดเพราะไม่ถูกต้อง และบอกว่าขอให้ขุดดินกลับมาคืนที่นาให้เหมือนเดิมได้ไหม โดยจะช่วยค่าน้ำมันรถแบ๊คโฮ แต่ผู้รับเหมาที่ขุดดินไม่รับข้อเสนอ โดยอ้างว่านางบุญมากได้เซ็นต์ยินยอมไปแล้ว ซึ่งนางบุญมากบอกว่าที่เซ็นต์ยินยอมไป คือให้ขุดฝั่งคลอง ไม่ใช่ฝั่งที่นาของตน และเป็นการเซ็นต์เพื่อรวบรวมรายชื่อขอทำถนน
หลังจากผู้รับเหมาดำเนินการขุดดินครั้งแรก ยังมีการมาขุดต่ออีก 2 ครั้ง แม้ว่านางบุญมากจะร้องขอให้หยุด แต่ผู้รับเหมาก็ไม่ฟัง
จึงขอความเป็นธรรม โดยเมื่อวันที่ (12กพ.61) ได้ไปยื่นเรื่องที่สำนักนายกรัฐมนตรี และวันนี้ (13กพ.61) ได้เดินทางมาที่สำนักงานการปฎิรูปที่ดิน จ.นครนายก เพื่อขอชี้แจงและขอคำปรึกษา และมาแจ้งความเพิ่มที่ สภ.ปากพลี ซึ่งนางบุญมาก เคยมาแจ้งความไว้แล้วเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2560 แต่ไม่คืบหน้า
วันนี้ พ.ต.ท.สาโรจน์ กองทอง รอง ผกก.สอบสวน สภ.ปากพลี ได้สั่งการให้สอบปากคำเพิ่มเติมนางบุญมาก และจะเรียกเจ้าหน้าที่สำนักงานการปฎิรูปที่ดิน จ.นครนายก ชาวบ้านที่ร่วมลงชื่ออีก 9 คน เจ้าหน้าที่ อบต.ปากพลี ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผู้รับเหมา มาสอบสวนเพิ่ม เพื่อหาข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินการเอาผิด ตามกฏหมาย