นายTae Ho Nam เจ้าของฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ช้าง กล่าวว่า ได้เข้ามาศึกษาลู่ทางการลงทุนในจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ามีศักยภาพในการพัฒนาทางด้านการเกษตร จึงตัดสินใจร่วมทุนด้วยการเช่าพื้นที่กับนักธุรกิจชาวไทยเปิดฟาร์มสตรอเบอรี่ช้าง โดยนำสตรอว์เบอร์รี่สายพันธุ์จากประเทศเกาหลีเข้ามาปลูกเมื่อ 7 เดือนที่ผ่านมา ขณะนี้ได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางการเกษตรให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชมนวัตกรรม และเก็บสตรอเบอรี่เกาหลีด้วยตนเอง โดยคิดค่าเข้าชมคนละ 200 บาท โดยฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่แห่งนี้นับว่าเป็น 1 ใน 5 ของเอเชีย ที่เป็นฟาร์มได้มาตรฐาน และใช้เทคโนโลยีชั้นสูงของประเทศเกาหลี ขณะนี้มีอยู่ในประเทศเกาหลี จีน และไทย เท่านั้น
สำหรับนวัตกรรมที่ได้มาใช้ภายในฟาร์มแห่งนี้ เป็นนวัตกรรมที่ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงานทั้งหมด โดยจะมีการนำเอาระบบชิลเลอร์ควบคุมความเย็น และความชื้น ควบคุมอุณหภูมิ และแสงให้คงที่ และได้มีการปลูกต้นสตรอว์เบอร์รี่นอินทรีย์วัตถุ คือ ขุยมะพร้าว บรรจุอยู่ในรางรางสเตนเลส ความยาว 100 เมตร ที่ปรับขึ้นลงได้ด้วยระบบไฮโดรลิค หรือรางลอยฟ้า เพื่อความสะดวกในการจัดเก็บ และการปรับแต่งต้นสตรอเบอร์รี่ จำนวน 70 ราง รวมความยาวของรางปลูกสตรอเบอร์รีไฮเทคนี้ ราว 7,000 เมตร หรือ 7 กิโลเมตร ทำให้สามารถออกผลผลิตได้ตลอดทั้งปี จากเดิมในประเทศไทยจะออก 2-3 เดือนเท่านั้น
"หลังจากเปิดฟาร์มมาได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี มีนักท่องเที่ยวหมุนเวียนเข้ามาตลอด และถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ในการใช้เทคโนโลยีทางด้านการเกษตรสมัยใหม่โดยขณะนี้ผลผลิตสตรอว์เบอร์รี่ที่ออกมาจำหน่าย ส่วนหนึ่งจะส่งเข้าซูปเปอร์มาเก็ตในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นการจำหน่ายภายในฟาร์ม โดยราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 300 บาทขึ้นไปโดยขึ้นอยู่กับขนาดของผลผลิต พร้อมกันนี้ยังจะนำมาสตรอเบอรี่มาแปรรูปทำเป็นแยมสด และทำไอศกรีม รวมถึงทำบิงซูสไลต์เกาหลีด้วย" นายTae Ho Nam กล่าว.