"จริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังมีแวบๆ เข้ามาบ้าง มันเหมือนเราสร้างความสุขให้คนอื่นมาตลอดแต่เราลืมมองการสร้างความสุขให้ตัวเอง มันก็เลยทำให้ตัวเองรู้สึกว่า ความสุขทำไมมียากจัง มันก็เลยเหมือนคิดไปเองและเริ่มฝังไปเรื่อยๆ (อาการเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่) มันจะคิดมากช่วงที่ไม่มีงาน มันทำให้เรารู้สึกแย่ ช่วงนั้นปัญหาต่างๆ ก็เริ่มกดดันเข้ามา เป็นช่วง 3 ปีก่อน ตอนนั้นเคยพูดว่าจะออกจากวงการ ตอนนั้นเราเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วว่าจะกลับไปทำงานที่บ้าน เพราะช่วงนั้นมีงานแค่ 5-6 งานต่อปีเท่านั้นเอง ที่เหลือเราหาเองกรุบกริบ ซึ่งมันเลี้ยงดูตัวเองไม่ได้เลยคิดว่ากลับไปทำงานที่บ้าน (เครียดระดับไหน) ช่วงนั้นก็เครียดชนิดไม่กินไม่นอน อยู่แต่ในบ้านเฉยๆ เก็บตัวเป็นอาทิตย์ 2 อาทิตย์แบบไม่ออกจากห้องเลย รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า รู้สึกว่าเราไม่มีความหมาย ไม่รักตัวเอง ถามว่าเคยคิดสั้นไหม ถ้าอยู่แบบนั้นนานๆ อีกหน่อยอาจจะมีได้ แต่เราโชคดีที่เรายังมีแม่อยู่ข้างๆ ตลอด มีแม่และแฟนคอยให้ความสนใจ" โอ๊ตกล่าว
ถามต่อได้ไปหาพบแพทย์บ้างไหม นักร้องหนุ่มเผยว่าแฟนสาวบอกให้ปหาหมอ
"เราก็ไปปรึกษาคุณหมอว่าเราเครียดและเราไม่มีความสุขในชีวิตเราต้องทำอย่างไร คุณหมอก็บอกว่าไม่ต้องกินยา ให้เราออกกำลังกายและหาอะไรทำให้มันไม่เครียด ผมว่าช่วงนั้นมันอาจเป็นช่วงเริ่มต้นที่จะเป็นมากกว่า (ไปหาหมอบ่อยแค่ไหน) เคยไปมาประมาณ 2 ครั้ง แต่หลังจากนั้นเราก็เริ่มมีงานมันก็เลยทำให้เราหายเครียด ตอนนี้ก็ดีขึ้น แต่ว่าปีหน้าก็ตั้งใจจะไปปรึกษาคุณหมออีกรอบหนึ่ง เพราะว่าตอนนี้เราก็มีความเครียด แต่มันไม่ได้เครียดตรงที่ไม่มีงานแต่มันเครียดตรงที่คนคาดหวัง ว่าเราจะต้องสนุก เราต้องตลก มันเลยเป็นความคาดหวังที่ทำให้เราเครียดไปเอง เพราะเรากดดันตัวเอง แต่ผมว่าไม่ได้เป็นเรื่องแปลกนะ คือเมืองนอกเขาหาจิตแพทย์เป็นเรื่องปกติเลย แต่คนไทยบางคนจะคิดว่าการไปหมอจะต้องเป็นคนบ้า การไปหาหมอจิตแพทย์เป็นเรื่องน่ากลัว แต่มันไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลย และอีกอย่าง อย่าไปคิดว่าคนเป็นโรคซึมเศร้าเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจ หรืออยากเท่ห์ อยากตามกระแส ความจริงโรคพวกนี้บางคนเป็นโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ฉะนั้นอย่าไปกดดันหรือช่วยเขาในทางที่ผิด อย่าว่าหรือซ้ำเติมเขา" โอ๊ต กล่าวปิดท้าย