ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า คำสั่ง คสช. ฉบับดังกล่าวมีผลแก้ไข พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ทั้งสิ้น 5 มาตรา . ให้มีความเข้มข้นและชัดเจนมากกว่าที่บัญญัติไว้ ในพ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ดังนี้ แก้ไข มาตรา 140 ที่ระบุรับรองให้คงความเป็นพรรคการเมือง, กรรมการบริหารชุดเก่าและคงสภาพของสมาชิกพรรคการเมืองตามพ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ.2550 ไปเป็น คงความเป็นพรรคการเมือง แต่คณะกรรมการบริหารพรรคจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ทั้งสิ้น 19 ข้อที่กำหนดไว้ในมาตรา 24 ของรัฐธรรมนูญ เช่นเดียวกับสมาชิกพรรคการเมืองที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและไม่มีลักษณะต้องห้าม หากต้องการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองเดิมให้ทำหนังสือยืนยันพร้อมส่งเอกสารหลักฐานการมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม พร้อมกับชำระค่าบำรุงพรรค ขั้นต่ำ 50 บาทหรือ 100 บาท ภายใน 30 วันนับจากวันที่ 1 เม.ย. 2561
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า แก้ไขมาตรา 141 โดยยกเลิก (1) ของพ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ.2560 ประเด็นการแจ้งเปลี่ยนแปลงสมาชิก , (2) กรณีพรรคที่มีสมาชิกพรรคไม่ถึง 500 คน ให้พรรคหาสมาชิกพรรคให้ครบจำนวน และปรับปรุงบทบัญญัติในมาตารา 141 ดังนี้ ส่วนของทุนประเดิม จำนวน 1 ล้านบาท โดยตัดสิทธิที่พรรคจะกันทรัพย์สินหรือเงินที่มีอยู่ก่อนเป็นทุนประเดิมได้ออก, การชำระค่าบำรุงพรรคของสมาชิก 500 คนกำหนดรายการให้สมาชิกพรรคที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเท่านั้นมีสิทธิชำระได้ และต้องแจ้งยอดการชำระตามจำนวนดังกล่าวต่อนายทะเบียน ภายใน 180 วัน นับจากวันที่ 1 เม.ย. 61 นอกจากนั้นกำหนดด้วยว่าให้สมาชิก จำนวน 5,000 คนต้องชำระค่าบำรุงภายใน 1 ปี และ ไม่น้อยกว่า 10,000 คนภายใน 4 ปีนับจากวันที่ 1 เม.ย. 61 และหากพ้น 4 ปี บุคคลที่ไม่ชำระค่าสมาชิกพรรคให้ถือว่าพ้นสมาชิกภาพของพรรคการเมือง
ในมาตรา 141 (4) ว่าด้วยการจัดประชุมใหญ่ของพรรค เลือกหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหาร จัดตั้งสาขาพรรค หาตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ปรับให้ดำเนินการภายหลังจาก ที่ยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่57/2557 และ คำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 3/2558 และต้องทำให้เสร็จภายใน 90 วันนับจากคำสั่ง 2 ฉบับถูกยกเลิก ทั้งนี้มีบทผ่อนปรนในกรณีที่พรรคหาทุนประเดิม, ชำระค่าบำรุง, ประชุมพรรคและจัดตั้งสาขาหรือตัวแทนจังหวัดไม่แล้วเสร็จตามกรอบเวลา ให้ขยายเวลาออกไปได้ 1 เท่าของระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ยังคงกรณีที่ดำเนินการไม่เสร็จห้ามพรรคส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือหากไม่ทำและไม่ขอขยายเวลาให้ถือว่าสภาพของพรรคสิ้นสุด และกรณีดังกล่าวพรรคจะไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการเมือง ตามการแก้ไข มาตรา 142 ด้วย
และมาตรา 144 ถูกแก้ไข โดยเพิ่มสิทธิของพรรคการเมืองที่จัดตั้งไว้แล้ว ที่มีสาขาพรรคไม่ครบ 4 ภูมิภาค จากเดิมที่กำหนดเป็นข้อยกเว้นเฉพาะพรรคการเมืองที่จัดตั้งใหม่ ให้ใช้กระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. จำนวน 7 คน มาจากกรรมการบริหารพรรค 4 คน, หัวหน้าสาขาพรรค, ตัวแทนพรรค ซึ่งเลือกกันเอง 7 คน และกรณีที่ตัวแทนสาขาหรือตัวแทนจังหวัดมีไม่ครบจำนวนให้เลือกตัวแทนสมาชิกพรรคเป็นกรรมการสรรหาได้ ขณะที่ มาตรา 146 ว่าด้วยการเก็บค่าบำรุงพรรคที่กำหนดให้เก็บขั้นต่ำ 50 บาท หรือเก็บ 100 บาทก็ได้ตามที่พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 15(15) กำหนด ปรับแก้ไขโดยตัดวรรคสองว่าด้วยการใช้ข้อบังคับพรรคเดิมที่เกี่ยวกับอัตราค่าบำรุงพรรคการเมืองซึ่งอาจต่ำกว่ากฎหมายกำหนดออก
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในคำสั่งคสช. ดังกล่าวยังเพิ่มบทบัญญัติเพื่อเป็นเงื่อนไขการดำเนินกิจกรรมขึ้นใหม่ 3 ประเด็น คือ 1.ห้ามพรรคการเมืองจัดประชุมใหญ่ หาตัวแทนหรือตั้งสาขาพรรค หรือการทำกิจกรรมอื่นใดทางการเมือง เกินกว่าที่คำสั่ง คสช.ฉบับดังกล่าวระบุไว้เว้นแต่ได้รับอนุญาต, 2.กรณีตั้งพรรการเมืองขึ้นใหม่ ให้ยื่นคำขอแจ้งเตรียมจัดตั้งพรรค หรือ ขั้นตอนจอง กับ กกต. ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 2561 ขณะที่ขั้นตอนเพื่อเตรียมรายละเอียดเพื่อจดทะเบียนจัดตั้งพรรคภายใน 180 วันนับจากวันยื่นจองตั้งพรรค เช่น ประชุมผู้ก่อตั้งพรรค เพื่อทำนโยบาย ข้อบังคับพรรค, หาสมาชิกพรรค ที่กฎหมายกำหนดให้ใช้การประชุม โดยมีผู้เข้าร่วมไม่น้อยกว่า 250 คนต้องขออนุญาตจาก คสช. ตามเงื่อนไขที่ คสช.กำหนด โดยให้สิทธิการอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ และ 3. กำหนดให้ คสช. แก้ไขเพิ่มเติมหรือยกเลิกประกาศ คสช. หรือคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานของพรรคการเมือง ภายหลังจากที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลบังคับใช้.