เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 13 ธันวาคม ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป) พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ไมตรี ฉิมเฉิด รรท.ผบก.ป. พ.ต.อ.นิรันดร์ ปิตะกาศ ผกก.3 บก.ป. พ.ต.ท.สุริยศักดิ์ จิราวัสน์ สว.กก.3 บก.ป. ร่วมกันทำการสอบปากคำ นายพฤฒิพงศ์ ณ นคร อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34/3 ม.4 ต.ดอนตะโก อ.เมืองราชบุรี จ.ราชบุรี ตามหมายจับศาลจังหวัดศรีษะเกษ ที่ 370/2560 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2560 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และน.ส.วรรณรัตน์ โพธิ์พันธ์ทูล อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1282/6 ถ.เพชรเกษม ต.สนามจันทร์ อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 796/2560 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2560 ข้อหา ฉ้อโกงประชาชน ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการ กก.3 บก.ป.จับกุมตัวได้ที่ บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 121 ม.7 ต.บางขะ อ.บ้านนา จ.นครนายก
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเดือนตุลาคม ที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหายกลุ่มหนึ่งว่าถูกผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้ซึ่งเป็นสามีภรรยากันว่ามีพฤติการณ์เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน โดยการเปิดเพจเฟซบุ๊กประมูลทองคำ ก่อนโพสต์ข้อความและรูปภาพเชิญชวนให้ผู้เสียหายนำเงินมาร่วมลงทุนประมูลทองคำผ่านทางเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ที่ชนะการประมูลจะต้องโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้ก่อน ทั้งนี้เมื่อได้รับเงินมาแล้วนั้นกลับไม่มีการส่งมอบทองคำให้กับผู้ที่ชนะการประมูล
นอกจากนี้ผู้ต้องหาทั้งสองรายยังได้หลอกลวงให้ผู้เสียหายอีกกลุ่มหนึ่งสมัครเป็นสมาชิกของกลุ่มประมูลทอง โดยอ้างว่าสามารถนำทองคำน้ำหนักมาตรฐานมาขายต่อให้ในราคาถูกกว่าท้องตลาด โดยผู้ที่สนใจจะต้องเสียค่าสมัครเป็นสมาชิกรายละ 500 บาท ซึ่งในช่วงแรกที่มีการสั่งซื้อทองคำนั้นทางผู้ต้องหาจะมีการส่งทองคำให้กับผู้เสียหายที่สั่งซื้อทองคำจริง เพื่อรอจนกระทั่งผู้เสียหายเริ่มตายใจสั่งซื้อทองคำเพิ่มขึ้นในครั้งเดียวเป็นจำนวนมาก เมื่อได้รับเงินจากผู้เสียหายมาแล้วก็จะทำทีบ่ายเบี่ยงที่จะส่งทองคำให้โดยอ้างว่า ติดปัญหามีสมาชิกบางรายถอนเงินลงทุน ก่อนจะขาดหายการติดต่อไปในที่สุด ที่ผ่านมามีผู้หลงเชื่อตกเป็นเหยื่อถูกหลอกจำนวนกว่า 200 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานจนมีการออกหมายจับ ก่อนวางแผนเข้าทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้ได้ดังกล่าว
พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งสองรายนั้นให้การรับสารภาพ ซึ่งหลังจากนี้จะทำการตรวจสอบเส้นทางการเงินและบัญชีของผู้ต้องหาทั้งสองราย โดยเบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่ามีบัญชีธนาคารทั้งหมด 3 บัญชี มีเงินหมุนเวียนในระบบหลายร้อยล้านบาท และเชื่อว่าน่าจะมีผู้ร่วมขบวนการอีกโดยทางเจ้าหน้าที่จะทำการขยายผลติดตามตัวมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด ส่วนผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้จะถูกคุมขังไว้ที่ บก.ป. ก่อนเพื่อรอตรวจสอบประวัติคดีอาชญากรรมอื่นๆ
พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวว่า สำหรับใครที่คิดว่าตนเองนั้นตกเป็นผู้เสียหายจากผู้ต้องหาให้มาแจ้งความได้ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท) เพื่อเป็นประโยชน์ต่อตนเองในการเรียกร้องค่าเสียหายกลับคืนมา