นายนิรันดร์ จาวลา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จีพีซีเอ็มกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้โรงแรมบีทูมีสาขาทั่วประเทศไทยจำนวน 32 แห่ง มีจำนวนห้องพักรวมกว่า 2,500 ห้อง มูลค่าการลงทุนไม่ต่ำกว่า 3,500 ล้านบาท โดยถือว่าเป็นธุรกิจโรงแรมราคาประหยัด หรือบัดเจ็ทโฮเทลรายแรกของประเทศไทย ที่มีเพดานราคาต่ำสุดอยู่ที่ 490 บาทขึ้นไป ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา นับว่าการดำเนินธุรกิจประสบความสำเร็จเกินความคาดหมายที่กำหนดไว้ มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยทั้งปีร้อยละ 75
ในปี 2561 บริษัทฯ วางแผนเปิดโรงแรมบีทูเพิ่มในจังหวัดแพร่, จังหวัดนครสวรรค์, จังหวัดราชบุรี, จังหวัดมุกดาหาร และอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดภูเก็ต ซึ่งแต่ละปีจะมีเป้าหมายเปิดสาขาไม่ต่ำกว่า 5 แห่ง ขณะที่ปี 2562 เบื้องต้นกำหนดเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่งที่จังหวัดพิษษณุโลก และจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งในแผนระยะยาวภายในปี 2563 คาดว่าจะมีโรงแรมบีทูเพิ่่มเป็น 41สาขา และพร้อมที่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ด้วยมูลค่าพอร์ตไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
ล่าสุด โรงแรมบีทูได้รับการคัดเลือกรับรางวัลโรงแรมธรรมาภิบาลยอดเยี่ยมของจังหวัดเชียงใหม่ 9 สาขา แบ่งเป็นรางวัลชนะเลิศ 5 สาขา และรางวัลรองชนะเลิศ 4 สาขา ซึ่งถือเป็นโรงแรมต้นแบบของจังหวัดเชียงใหม่ที่มีการบริหารจัดการในการดำเนินธุรกิจ และพัฒนาบุคลากร ตลอดจนมีระบบการทำธุรกิจโปร่งใสตลอดระยะเวลาประเมินตลอด 5 ปี และตนเองยังได้รับรางวัลบุคคลคุณภาพยอดเยี่ยมแห่งปี 2560 จากมูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในสาขาท่องเที่ยว และสันทนาการ ในฐานะที่เป็นนักธุรกิจที่นำเอาเทคโนโลยีมาพัฒนาองค์จน และเกิดประโยชน์ต่อภาพรวมของประเทศ
"แผนระยะยาวในการพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัทฯคงไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ หลังจากได้มีการพัฒนาให้มีการจองที่พักออนไลน์ผ่านเวปไซต์ และมีการรับสมัครสมาชิกบัตรเติมเงินบีทูไปแล้ว โดยมีฐานสมาชิกไม่ต่ำกว่า 50,000 คน ขณะบริษัทฯได้ต่อยอดด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชั่น"บีทูวอลเลท" เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถชำระค่าห้องพัก การจองห้องพัก และการสะสมแต้มผ่านแอพคลิชั่นทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยคาดว่าจะเปิดให้มีการดาวน์โหลดได้ราวกลางปี 2561 " นายนิรันดร์ กล่าว
พร้อมกันนี้ ทางบริษัทฯได้วางแผนพัฒนาเทคโนโลยีระยะยาว ด้วยการเพิ่มกลยุทธ์ให้โรงแรมบีทูทั่วประเทศไทย มีความเข้มแข็งในการบริการกับลูกค้าผ่านเทคโนโลยีทางโทรศัพท์เคลื่อนที่ และกำหนดเป้าหมายให้เป็น Cashless Hotel แห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งหมายถึงว่า ต่อไปลูกค้าที่จะเข้ามาพักโรงแรมบีทูไม่ต้องพกเงินสดติดตัว เพียงแต่ดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นบีทูวอลเลท ก็สามารถทำการจองห้องพัก และชำระห้องพักผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ด้วยตัวเอง ทั้งยังมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมถึงได้รับราคาพิเศษตลอดทั้งปี ขณะที่ในแง่ของการทำธุรกิจไม่เพียงแต่จะเป็นการป้องกันระบบการทุจริต และความเที่ยงของระบบการเงินขององค์กรแล้ว ยังสอดรับกับนโยบายไทยแลนด์4.0 และตอบโจทย์การเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ด้วย
นายนิรันดร์ กล่าวต่อไปว่า เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างเร็วมาก ระบบดิจิทัลมีบทบาทต่อชีวิตทุกคน ซึ่งต่อไปการทำธุรกรรมทางการเงินสามารถทำได้เองผ่านมือถือไม่ต้องเสียเวลา และดำเนินการได้ตลอด 24ชั่วโมง โดยไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์อย่างเดียว และระบบจะไม่แตกต่างจากธนาคารพาณิชย์โดยทั่วไป ซึ่งระบบE-Money ที่บริษัทกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้อยู่ระหว่างการขออนุญาตจากทางธนาคารแห่งประเทศไทย จากเดิมที่มีไลน์เซ่นเป็นบัตรเติมเงิน ก็ยกระดับมาเป็นเหมือนธนาคารพาณิชย์ขนาดย่อม ที่ลูกค้าดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นก็สามารถผูกบัตรเครดิตเข้าไปได้ด้วยกัน
นอกจากนี้แล้ว บริษัทฯยังจะพัฒนาตู้คีออส ที่มีความสามารถในการรองรับลูกค้าได้ 30 ภาษา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ มีความสะดวกในการเข้าใช้บริการโรงแรมบีทู โดยถือเป็นอีกช่องทางตลาดในการจะเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งตำแหน่งของการตั้งตู้คีออสจะมีการพิจารณาจุดที่สะดวกต่อการใช้งานของลูกค้ามากที่สุด