svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เจาะประเด็นร้อน

ปรากฏการณ์ "ตูนฟีเวอร์"​

12 ธันวาคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

ปรากฏการณ์ที่คนไทยนับล้านร่วมบริจาคเงินและเอาใจช่วยให้กระทำการสำเร็จ เช่นการวิ่งของ "ตูน" หรือ "อาทิวราห์ คงมาลัย" ไม่ใช่เรื่องธรรมดาและมีนัยสำคัญหลายประการ


ขณะที่เขียนตูนวิ่งถึงสุพรรณบุรีบ้านเกิด วิ่งมาแล้ว 29 วัน เป็นเวลา 254 ชั่วโมง รวม 1,400 กิโลเมตร จากเป้าหมายคือเบตง ถึงแม่สาย 2,191 กิโลเมตร (วิ่งไปได้แล้วกว่า 64 เปอร์เซ็นต์ อีกไม่กี่วันก็จะบรรลุเป้าหมาย 2 ใน 3ของระยะทาง) ได้รับเงินบริจาคแล้วประมาณ 650 ล้านบาท จากเป้าหมาย 700 ล้านบาท หรือ 93 เปอร์เซ็นต์ของเป้าหมาย พูดง่าย ๆ ก็คือ วิ่งมาได้เกือบ 2 ใน 3 ของระยะทาง แต่ได้รับเงินบริจาคแล้วเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ของเป้าหมาย สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า "เกิดอะไรขึ้น" สาเหตุของ "ตูนฟีเวอร์" น่าจะมาจากไม่ต่ำกว่า 5 ปัจจัยด้วยกัน 

ปัจจัยแรก คนไทยบ่มเพาะจิตใจมาแล้ว 1 ปีเต็มจากความตั้งใจ "ทำความดีเพื่อพ่อหลวง" ความดีที่อยู่ในจิตใจของคนไทยโดยทั่วไปสุกงอมเต็มที่ เมื่อตูนออกมาวิ่งเพื่อรับบริจาคเงิน จึงเป็นโอกาสของการหล่นผลอย คนไทยมีความสุขที่ได้ทำความดี ไม่ว่าจะบริจาคเงินมากน้อยเท่าใดก็ตาม

ปัจจัยที่สอง  ตูนเองเป็นนักร้องร็อคเกอร์ชื่อดังที่ถูกใจเยาวชน และคนในวัยกลางคนอยู่แล้ว วงดนตรีของพวกเขาจัดอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการ เมื่อปลายปี 2559เขาก็ได้วิ่งการกุศล 10 วัน รวม 400 กิโลเมตร ได้รับเงินบริจาค 63 ล้านบาทให้โรงพยาบาลบางสะพานอย่างประสบความสำเร็จยิ่ง ด้วยความบากบั่นไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย 
ผู้คนเห็นความเสียสละและความจริงใจของเขา เมื่อเขามาวิ่งจากใต้สุดสู่เหนือสุดของประเทศ ระยะทางกว่า 2,000 กิโลเมตร จึงมีคนเชื่อถือและพร้อมที่จะสนับสนุนโดยเฉพาะเอกชนรายใหญ่ทั้งหลายที่ต้องการทำ CSR อยู่แล้ว

ปัจจัยที่สาม  บุคลิกภาพของตูนในเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน ไหว้อย่างงดงาม มีกิริยามารยาท พูดจาสุภาพอย่างถูกกาลเทศะ มีความจริงใจ และ มุ่งมั่นต่อเป้าหมายชีวิตส่วนตัวก็ไม่อื้อฉาวเป็นที่ยอมรับในวงการ อีกทั้งแฟนสาว ก้อย (รัชวิน วงศ์วิริยะ) ก็สวยน่ารัก วิ่งไปยิ้มไปอยู่ข้างแฟนอย่างไม่ท้อถอย อีกทั้งไม่มีชื่อเสียงเสียหาย ได้รับการศึกษาที่ดีทั้งคู่ ทั้งหมดจึงผสมกันเป็นแรงสร้างศรัทธาต่อตัวบุคคลและสิ่งที่เขาทำเป็นอย่างดี

ปัจจัยที่สี่ การเป็นดาราดังอยู่แล้ว รู้จักคุ้นเคยกับทุนใหญ่ มี เครือข่ายในวงการบันเทิงและสื่อกว้างขวาง ทำให้ได้รับทุนสนับสนุนเป็นอย่างดียิ่ง สามารถจัดทีมแพทย์ ทีมจัดการได้อย่างเต็มชุด แถมมีรถยนต์และอุปกรณ์ประกอบสมบูรณ์ โดยเฉพาะการส่งภาพออกทางโซเชียลมีเดีย เปิดทุกช่องการบริจาค (ยกเว้นผ่านผูกขานกพิราบเท่านั้น)ปัจจัยที่ห้า  สังคมไทยโดยเฉพาะเยาวชนขณะนี้โหยหิว "ฮีโร่" หรือ "ไอดอล" ดังนั้นใครที่โดดเด่น โด่งดัง โดยเฉพาะกระทำความดีและมีภาพลักษณ์ที่ดีเช่นตูน จึงกลายเป็นบุคคลในดวงใจโดยปริยาย

ปรากฏการณ์ "ตูนฟีเวอร์"​



ปัจจุบัน คนรุ่นกลางคนและเยาวชนขาด "ไอดอล" ประเภทคนดีที่สามารถใช้เป็นจุดอ้างอิงในชีวิต (เหมือนกับช่างไม้ต้องมีระดับน้ำอ้างอิงไว้ที่หนึ่งเสมอเวลาปลูกบ้าน) ดังนั้นจึงหันไปหา"เน็ตไอดอล" "นักกีฬา" "นักแสดง" หรือศิลปินดารา ฯลฯ ตูนก้าวออกมาอย่างถูกจังหวะของความต้องการ

สิ่งที่ตูนทำนั้นก่อให้เกิดผลไม่น้อยกว่า 3 ประการ คือ 

1) ปลุกเร้าให้คนไทยคิดถึงการทำความดี การเสียสละ การมีจิตอาสา ฯลฯ ยิ่งขึ้น แฟชั่นนี้เป็นเรื่องดีที่สังคมไทยต้องการ แรงกระตุ้นเช่นนี้เป็นระยะ ๆ ตูนเป็นตัวอย่างที่เยาวชนจดจำและอยากเลียนแบบ

2) ปลุกให้ผู้คนตื่นขึ้นมาดูแลสุขภาพตัวเอง การวิ่งกำลังกลายเป็นแฟชั่นของคนหนุ่มสาวเช่นเดียวกับการขี่จักรยาน และการออกกำลังกาย (นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ ก็มีส่วนในเรื่องนี้) ซึ่งเป็นผลดีต่อตนเองและสุขภาพการเงินของประเทศทั้งระยะสั้น และระยะยาว

การวิ่งวันละ 50-70 กิโลเมตรของตูน สร้าง "new normal" สำหรับนักวิ่งทั้งหลาย เดิมวิ่งวันละ 5-6 กิโลเมตรก็ดูเป็นภารกิจที่ใหญ่หลวงแล้ว พอเห็นตูนกับก้อยและพรรคพวกวิ่งสบาย ๆ วันละ 10 เท่าตัวของระยะทางที่ตนเองวิ่ง จึงรู้สึกว่าเป็นภารกิจที่เล็กลงไปมาก กล้าที่จะวิ่งไกลขึ้น

การเริ่มบางอย่างก่อให้เกิดผลอย่างไม่น่าเชื่อ ตูนบอกว่าเขาเริ่มวิ่งจากงานวิ่งที่ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) จัดเมื่อ 5 ปีก่อน

3) การเปลี่ยนมาดูแลสุขภาพตนเองยิ่งขึ้นก่อให้เกิดผลดีต่อการให้บริการสาธารณสุขของไทย เพราะเป็นการลดด้านดีมานด์ และการได้รับทรัพยากรแพทย์และเงินทุนมากขึ้นก็คือการเพิ่มซัพพลาย 

การหาเงินเพื่อสนับสนุนโรงพยาบาลนั้น เป็นเรื่องที่เขาทำกันเป็นประจำทั่วโลก เนื่องจากไม่มีโรงพยาบาลใดในโลก ที่สามารถมีอุปกรณ์การแพทย์ที่ทันสมัยได้ทุกชิ้น มีบ้างขาดบ้างเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากเทคโนโลยีการแพทย์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและมีราคาแพงมากเพราะเป็นธุรกิจผูกขาด 

การวิ่งของตูนครั้งนี้จึงมิใช่การแสดงว่าสาธารณสุขไทยแย่จนต้องหาเงินด้วยวิธีนี้ หากแต่เป็นการแสดงออกซึ่ง ความรักของประชาชนที่จะช่วยเพื่อนมนุษย์ให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นการวิจารณ์ว่าการวิ่งหาเงินสนับสนุนโรงพยาบาลเช่นนี้มิใช่เรื่องยั่งยืน และมิใช่หนทางที่ถูกต้องในระยะยาวนั้นถูกต้อง แต่เมื่อคนร่วมโครงการเขามีความตั้งใจที่จะทำความดีหาเงินช่วยสนับสนุน เพื่อลดความขาดแคลนไปบ้าง แล้วจะไปว่าเขาได้อย่างไร 

ตัวผู้วิจารณ์เองก็ไม่ได้ออกแรง ไม่ได้วิ่ง ไม่โดนแดดร้อนและนั่งสบายในห้องแอร์ ถึงวิจารณ์ก็ควรให้กำลังใจกัน บางสิ่งที่พูดนั้นถูกต้องอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ควรพูดอย่างผิดกาลเทศะบั่นทอนคนตั้งใจดี

ตามประสาคนที่อยากเห็นตูนวิ่งถึงแม่สายก็อยากบอกว่าเป้าหมายของตูนนั้นมี 2 ประการคือ 1) วิ่งให้ถึงแม่สาย 2) หาเงินให้ถึงเป้า 700 ล้านบาท เป้าที่สองนั้นถึงแน่นอนอยู่แล้ว และอาจทะลุถึง 1,000 ล้านบาท เอาด้วย จึงไม่ต้องกังวล สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือประการแรกคือวิ่งให้ถึงแม่สาย

จากที่ฟังตูนพูดเข้าใจว่าเขาเป็นนักกีฬา เขาเชื่อมั่นว่าวิ่งถึงแน่นอน และต้องให้ถึงภายใน 25 ธ.ค. ตามเป้าด้วย เขาถึงจะ "ชนะ" 

 อย่างไรก็ดี การรับเงินบริจาคของตูนไปจากประชาชน เปรียบเสมือนการสัญญาว่าจะวิ่งให้ถึงแม่สายโดยผู้ให้ไม่ได้คำนึงว่าจะถึงเมื่อใด ตูนจึงอยู่ภายใต้แรงกดดันมากพอควร เมื่อวิ่งนานวันเข้ากำลังแรงย่อมอ่อนล้า มีโอกาสเจ็บป่วยสูงหากไม่ระวังตัว (วิ่งเร็ว ๆ และหยุดโดยไม่อุ่นเครื่องขาลงอาจทำให้หน้ามืดเพราะขาดเลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจได้)  สิ่งที่ประชาชนต้องการคือไป ให้ถึงอย่าเอาการไปถึงเป้าหมายภายในกำหนดเวลาเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหากตูนเร่งมือเกินไปก็อาจล้มเหลวไปไม่ถึงในที่สุดก็เป็นได้ ตูนเสียสละมากจากการวิ่งครั้งนี้ ถึงทำได้สำเร็จแล้วก็อาจมีผลต่อร่างกายโดยเฉพาะการปวดขา และเข่าในระยะยาวต่อไป 


ผู้เขียนขอชื่นชมการเสียสละและการกระทำดีครั้งนี้ ขอเชียร์ว่า "พี่ตูนสู้ ๆ" ซึ่งหมายถึงขอให้ต่อสู้เอาชนะใจตนเองจากการต้องการ "ชนะ" ซึ่งอาจทำให้ตนเองแพ้ในที่สุดก็เป็นได้

------
ที่มา : คอลัมน์ "อาหารสมอง" กรุงเทพธุรกิจ
โดย ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ
กรรมการในคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์, อธิการบดีกิตติคุณมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์, กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฯลฯ

logoline