svasdssvasds
เนชั่นทีวี

เศรษฐกิจ

ทรัมป์เลือก "เจอโรม พาวเวล" นั่งตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่

02 พฤศจิกายน 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

เจอโรม พาวเวล ได้รับการคัดเลือกจากประธานาธิบดีทรัมป์ในการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ แทนเจเน็ต เยลเลน ซึ่งจะครบวาระการทำงานในเดือน ก.พ.ปีหน้า โดยก่อนหน้านี้ผู้นำสหรัฐได้กล่าวชื่นชมเจเน็ต เยลเลน ว่า ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม


ขณะทีข่าวใหญ่ในสัปดาห์นี้ ที่ทั่วโลกกำลังจับตาดูมากที่สุด คือกำหนดการเดินทางเยือนเอเชียเป็นระยะเวลา 11 วันในระหว่างวันที่ 3-14 พ.ย.ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเดินทางเยือนญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน เวียดนาม และฟิลิปปินส์ รวมทั้งเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเปคและอาเซียน
ส่วน FBI สาวต่อการเชื่อมโยงเหตุก่อการร้ายในกรุงนิวยอร์ก้มไปยังบุคคลที่สอง ที่ติดต่อกับชายชาวอุเบกิสถานใช้รถกระบะพุ่งใส่ฝูงชนเมืีอวันอังคาร จนมีผู้เสียชีวิต 8 คน และบาดเจ็บ 15 คน โดยพบว่าชายคนดังกล่าวติดต่อกับกลุ่ม IS ให้สอนวิธีการโจมตีทางออนไลน์

1. ทำเนียบขาวเปิดเผยในวันนี้ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจเลือกเจอโรม พาวเวล ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ แทนเจเน็ต เยลเลน ซึ่งจะครบวาระการทำงานในเดือนก.พ.ปีหน้า โดยก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้กล่าวชื่นชมเจเน็ต เยลเลน ว่า ทำงานได้อย่างดีเยี่ยม
ปัจจุบัน เจอโรม พาวเวล ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการเฟดสายพิราบ ซึ่งให้การสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ทำให้สื่อในวอลล์ สตรีท มองว่า หากเจอโรม พาวเวล ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเฟด จะยังคงเดินหน้าสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามแนวทางของเจเน็ต เยลเลน
นอกจากนี้ ยังอาจจะเอื้อประโยชน์ต่อธนาคารขนาดเล็กที่ต้องแบกภาระต้นทุนที่สูง เนื่องจากเฟดกำลังพิจารณาขนาดของธนาคาร หลังจากผ่านวิกฤติการเงินสหรัฐเมื่อปี 2008


2. คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟด มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ 1.00-1.25% ในการประชุมเมื่อวันพุธ ตามกาาคาดการณ์ของตลาดการเงิน เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐยังคงมีการขยายตัวที่แข็งแกร่ง และพายุเฮอร์ริเคนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเศรษฐกิจในระยะยาว
แม้ว่าการจ้างงานลดลงในเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา แต่แนวโน้มอัตราการว่างงานยังคงปรับตัวลงต่อไป ส่วนอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวสู่เป้าหมายที่ระดับ 2% ในระยะกลาง โดยที่ดุลความเสี่ยงมีความสมดุลในระยะใกล้ ทั้งนี้ แถลงการณ์ดังกล่าว ทำให้เชื่อว่าจะเป็นสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.
อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ของเฟดไม่ได้ระบุถึงความชัดเจนในการปรับลดบัญชีงบดุล แต่โครงการปรับลดงบดุลดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป


3. ขณะที่ข่าวใหญ่ในสัปดาห์นี้ ที่ทั่วโลกกำลังจับตาดูมากที่สุด คือกำหนดการเดินทางเยือนเอเชียเป็นระยะเวลา 11 วันในระหว่างวันที่ 3-14 พ.ย.ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเดินทางเยือนญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน เวียดนาม และฟิลิปปินส์ รวมทั้งเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเปคและอาเซียน
ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากปัญหาวิกฤตินิวเคลียร์ในคาบสมุทรเกาหลีที่ยังไม่คลี่คลายลง โดยที่ประธานาธืบดีทรัมป์ประเดิมเยือนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็น 2 ประเทศแรก เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่า สหรัฐให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาคาบสมุทรเกาหลีมาเป็นอันดับแรก
หลังจากที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ต่อสายตรงไปหานายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ เมื่อวันจันทร์ ซึ่งต่างเห็นพ้องที่จะมร้างแรงกดดันเกาหลีเหนือให้ยุติการทดสอบขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์อย่างเต็มที่ประธานาธืบดีทรัมป์ยังมีกำหนดเดินทางถึงญี่ปุ่นในวันอาทิตย์นี้พร้อมกับเมลาเนีย ทรัมป์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ท่ามกลางการอารักขาความปลอดภัยจากทางการญี่ปุ่นได้ส่งเจ้าหน้าที่กว่า 10,000 นายมาดูแลความสงบเรียบร้อยครั้งนี้ จากนั้นก็จะบินตรงไปยังเกาหลีใต้
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์จะเดินทางไปยังค่ายฮัมฟรีส์ (Camp Humphreys) อันเป็นฐานทัพทางทหารแห่งใหม่ของสหรัฐ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงโซลไปทางใต้ราว 70 กิโลเมตร แต่จะไม่เดินทางเยือนเขตปลอดทหาร ซึ่งเป็นเขตชายแดนที่คั่นกลางระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ อันเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ถึงการส่งเสริมให้เกิดสันติภาพบนคาบสมุทรเกาหลีอย่างที่อดีตประธานาธิบดีหลายคนได้ปฏิบัติกันมาก่อนหน้านี้


4. หลังจากปฏิบัต้ภารกิจในเกาหลีใต้แล้ว ประธานาธิบดีทรัมป์จะเยือนจีนอย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนจากการที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เดินทางมาเยือนสหรัฐเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อโน้มน้าวให้จีนยกระดับการสร้างแรงกดดันต่อเกาหลีเหนือมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ท่าทีของจีนนังต้องการรียกร้องหรัฐเปิดโต๊ะเจรจากับเกาหลีเหนือโดยตรง
นอกจากเรื่องเกาหลีเหนือแล้ว คาดว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะพูดคุยกับผู้นำจีนในประเด็นเศรษฐกิจเพื่อที่จะลดขาดดุลทางการค้าของสหรัฐกับจีน รวมทั้งการเปิดช่องทางให้ธุรกิจสหรัฐสามารถเข้าไปทำการค้าในตลาดจีนได้มากขึ้น


5. โดยในวันที่ 10 พ.ย. ประธานาธิบดีทรัมป์จะเดินทางต่อไปยังเวียดนาม เพื่อเข้าร่วมการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเซีย-แปซิฟิค (เอเปค) ณ เมืองดานัง พร้อมกล่าวสุนทรพจน์ในเวที APEC CEO Summit ย้ำถึงความสำคัญของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ก่อนที่จะเดินทางไปยังกรุงฮานอย เพื่อพบปะกับประธานาธิบดีเวียดนาม
ส่วนจุดปลายทางสุดท้ายของประธานธิบดีทรัมป์ จะเป็นการเยือนฟิลิปปินส์ และเข้าร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีการก่อตั้งอาเซียนในวันที่ 12 พ.ย. ก่อนที่จะเข้าพบกับโรดริโก ดูเตอร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ซึ่งได้ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า จะเจรจาข้อตกลงต่างๆ กับสหรัฐอย่างเป็นธรรมให้มากที่สุด เกี่ยวกับประเด็นความมั่นคงในภูมิภาค และความร่วมมือระหว่างประเทศ รวมถึงเรื่องสงครามปราบปรามยาเสพติด
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์จะไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกในวันที่ 14 พ.ย. เนื่องจากผู้นำสหรัฐไม่ต้องการแสดงท่าทีให้ความสำคัญกับเอเชียตะวันออก นอกเหนือจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่สหรัฐให้ความสำคัญมากที่สุด โดยจะเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเข้าร่วมประชุมเท่านั้น ถึงแม้ว่า จีนได้รุกขยายแผ่อิทธิพลในภูมิภาคมากขึ้นก็ตามที

logoline