อดีตกรรมการ ป.ป.ช.วิชา มหาคุณ เปิดใจ ถึงการเข้ามาทำคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ว่า ในตอนแรก ผู้ที่ถูกตรวจสอบ คือ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ในขณะนั้น แต่เมื่อต่อมาพบ ว่า มีสำนวนการร้องเรียน ไปตัวคุณยิ่งลักษณ์ จึงได้เริ่มทำการตรวจสอบ
อ.วิชา บอกในช่วงเริ่มต้น ใช้เวลานานไปกับการหาข้อมูล แต่เมื่อลงพื้นที่ และดูนโยบาย จึงได้พบว่า การจำนำข้าว ล้วนก่อให้เกิดการทุจริต และทันทีที่เริ่มมีการนำโครงการนี้ ไปประชาสัมพันธ์หาเสียงกับชาวนา ป.ป.ช. ก็ส่งหนังสือเตือน ไปถึง 2 ครั้ง แต่สุดท้าย ก็ตอบกลับมาว่า "ต้องทำ" เพราะเป็นนโยบายที่หาเสียงไว้แล้ว คำตอบนี้ จึงถูกตีความ ว่า เป็นประพฤติไม่ชอบ
อ.วิชา บอกว่า หลักฐานสำคัญ ที่มัดกระบวนการจำนำข้าวจนอยู่หมัด คือ การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐปลอม เพราะไม่ผ่านองค์กร ที่ชื่อว่า คอฟโก้ ของจีน ที่มีหน้าที่คอยควบคุมการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ แต่เป็นการขายข้าวให้กับบริษัทที่เป็นรัฐวิสากิจในระดับมณฑล โดยไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีน
อีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญ คือ การที่กลุ่มธุรกิจซื้อขายข้าว 4 บริษัทใหญ่ ยอมให้ข้อมูลทั้งหมด เพื่อขอแลกกับการถูกกันไว้ เป็นพยาน ทำให้เห็นภาพชัดทั้งหมด
อ.วิชา ยืนยันว่า แม้คุณยิ่งลักษณ์ จะอ้างว่า ไม่รับทราบความเสียหายไม่ได้ เพราะโดยตำแหน่งแล้ว นายกฯ เป็นประธานคณะกรรมาการนโยบายข้าว โดยตำแหน่งและมีหนังสือแจ้งปิดบัญชี รายงานตัวเลขขาดทุน ส่งถึงประธานฯ ถึง 3 ครั้ง แต่ระหว่างการไต่สวน ที่ ป.ป.ช.ได้เรียก ผู้เกี่ยวข้องในรัฐบาล เข้ามาให้ข้อมูลทุกคน ก็กลับยืนยันว่า โครงการไม่มีปัญหา
การทำคดีใหญ่ระดับนี้ นอกจากต้องทำงานหนัก ต้องอ่านเอกสารจำนวนมาก ยังต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา สำนวนคดีจะไม่เก็บไว้ที่สำนักงาน แต่ต้องนำติดตัวไว้ตลอดเวลา และต้องย้ายที่อยู่ ไปพักอยู่ในเซฟเฮาท์ เพื่อความปลอดภัย ตลอดเวลาก็ต้องเตือนตัวเองเสมอว่า ถ้ายับยั้งโครงการนี้ไม่ได้ หมายถึง ความตายของประเทศ