ทั้ง เริงใจ (นำแสดงโดย เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ), เทิดพันธุ์ (นำแสดงโดย หลุยส์ สก็อตต์), ฤกษ์ (นำแสดงโดย ป้อง ณวัฒน์) หรือกระทั่ง พิมาลา (นำแสดงโดย เบลล่า ราณี) ล้วนแต่มีชีวิตที่ยึดติดกับ "วัตถุนิยม"
เริ่มจากคู่แรก "ใจเริง" และ "เทิดพันธุ์" ผู้มีความเป็นอยู่สุขสบายในช่วงที่กิจการของครอบครัวรุ่งเรืองถึงขีดสุด สองหนุ่มสาวฟุ้งเฟ้อและฟุ่มเฟือยไปได้เท่าที่ฐานะจะเอื้ออำนวย อาหารการกิน รถยนต์ราคาแพง กระเป๋าแบรนด์เนม ฯลฯ
เมื่อถึงวันที่ทุกอย่างกลับข้าง มีเพียง "ใจเริง" ที่ยังจมไม่ลง ไขว่คว้าและทำทุกอย่างให้ได้มาซึ่งชีวิตที่สุขสบายเหมือนเดิม โดยไม่สนใจว่า สิ่งที่ทำมันถูกหรือผิด ส่วน "เทิดพันธุ์" ยอมรับชะตากรรมและยิ้มรับให้กับสิ่งที่เขาเรียกว่า "ความบัดซบของชีวิต" เขาอ้าแขนต้อนรับมัน และซึมซับมันไว้เป็นบทเรียนราคาแพง
ขณะที่คู่หลัง "ฤกษ์" และ "พิมาลา" เกิดและเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลาง ความเป็นอยู่เรียบง่าย แต่เมื่อถึงวันที่ "ฤกษ์" มีรายได้เพิ่มขึ้น มีฐานะดีขึ้น เขาก็เลือกที่ตอบสนองความสุขให้กับหญิงคนรักอย่าง "พิมาลา" ด้วยบ้านหลังใหญ่ อาหารนอกบ้านราคาแพง รถยนต์ยุโรปคันหรู และกระเป๋าแบรนด์เนมใบโต
ทางทฤษฎี การใช้เงินของ "ใจเริง-เทิดพันธุ์-ฤกษ์ และพิมาลา" อาจจะไม่มีอะไรผิด เพราะทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่ในฐานะที่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ เป็นการกินอยู่ตามอัตภาพ ตามกำลัง ตามฐานะ
แต่การล้มครืนทางการเงิน พลิกชีวิตความเป็นอยู่จากหน้ามือเป็นหลังมือของ "ใจเริงและเทิดพันธุ์" ในช่วงต้นของเรื่องๆ ก็พอจะสะท้อนความผิดพลาดในการบริหารจัดการเงินทองได้ไม่น้อย จัดเป็นการใช้ชีวิตโดยประมาทแบบไม่ต้องสงสัย
มีอยู่หลายฉากหลายตอนในละคร โดยเฉพาะในตอนที่ "ใจเริง" เข้าตาจน มีหนี้สินล้นพ้นตัว โดนเจ้าหนี้ตามทวงทั้งค่าคอนโดฯ ที่ค้างชำระ และค่างวดรถที่ค้างจ่าย
ทำให้นึกถึง 5 สัญญาณเตือนภัยที่ "เครดิต บูโร" หรือบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด แจกแจงไว้ให้ "ลูกหนี้" หมั่นสำรวจตัวเองว่า "ภาระหนี้สิน" ของเรานั้น เข้าขั้นวิกฤติแล้วหรือยัง
สัญญาณที่ 1 มากกว่า 45% ของรายได้ต้องเอาไปให้เจ้าหนี้ใช่หรือไม่ : ถ้าใช่ ก็ลองนึกดูว่า รายได้เกือบครึ่งของเราในแต่ละเดือนต้องใส่พานให้กับเจ้าหนี้ แล้วสุขภาพทางการเงินในระยะยาวของเราจะเป็นอย่างไร
และนั่นหมายถึงทรัพย์สินเกือบครึ่งที่เรามีอยู่ "ไม่ใช่ของเราโดยแท้จริง" แต่เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากเงินของเจ้าหนี้ทั้งนั้น
สัญญาณที่ 2 จำไม่ได้ว่า มีหนี้อยู่ทั้งหมดเท่าไหร่ : คนแบบนี้มีอยู่จริง เพราะเคยเจอกับตัวเองมาหลายครั้ง ถามว่า "มีหนี้ทั้งหมดเท่าไหร่" จะได้วางแผนแก้ไขได้ เจ้าตัวกลับบอกว่า "จำไม่ได้" อาจจะเป็นไปได้ว่า หนี้มันมากมายหลายเจ้า จนนับไม่ถูก และก็อาจจะเป็นไปได้ว่า แกล้งลืมๆ มันไป จะได้สบายใจ
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหน ถ้าจำไม่ได้ว่าหนี้ทั้งหมดมีอยู่เท่าไหร่ จะมีแต่เสียกับเสีย เพราะชีวิตจะขาดการวางแผน และอาจจะเผลอก่อหนี้เพิ่ม หรือลืมชำระหนี้ ทำให้เดือดร้อนหนักขึ้นกว่าเดิม
สัญญาณที่ 3 เริ่มกู้ยืมเงินมาเพื่อใช้หนี้ : "เครดิต บูโร" บอกว่า หนึ่งในวิธีสุดคลาสสิคของคนรวยหนี้ ก็คือการกู้เงินจากแหล่งที่คิดว่า ประนีประนอมง่ายกว่ามาโปะหนี้ส่วนที่ต้องรีบจ่าย ฟังดูเหมือนง่าย แต่จริง ๆ แล้วเป็นแค่การหนีปัญหาเฉพาะหน้า หากเป็นแบบนี้หลายงวดเข้า บัญชีหนี้สินก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย แค่เปลี่ยนเจ้าหนี้ไปเรื่อยๆ เท่านั้น
สัญญาณที่ 4 เริ่มกังวลว่าคนที่บ้านจะเห็นใบแจ้งหนี้ : เวลาไปรษณีย์มากดกริ่งหน้าบ้าน แล้วต้องรีบวิ่งไปรับใบแจ้งหนี้ของตัวเอง เอาไปซ่อนไว้ไม่ให้ครอบครัวเห็น แบบนี้เข้าข่ายอาการหนักแน่นอน
สัญญาณที่ 5 เริ่มผวาเวลามีเบอร์ไม่รู้จักโทรเข้ามา เพราะกลัวว่า เจ้าหนี้จะโทรมาทวงหนี้ : ถ้ามีอาการแบบนี้ ทั้งตัวเองและเจ้าหนี้ ก็น่าจะประเมินได้ในระดับหนึ่งว่า ความสามารถในการชำระหนี้ของเรานั้นถดถอยลงเหลือต่ำสุด แล้วจะใช้ชีวิตให้มีความสุขได้ยังไง
ลองสำรวจตัวเองให้ถี่ถ้วน แล้วสกัดตัวเองตั้งแต่สัญญาณที่ 1 และ 2 อย่าปล่อยให้ถลำลึกมาถึงสัญญาณที่ 3 ก็เท่ากับช่วยเหลือตัวเองให้หลีกเลี่ยงความเป็น "ใจเริง" ในเพลิงบุญไปได้มากแล้ว