svasdssvasds
เนชั่นทีวี

การเมือง

ฎีกาไม่ลดโทษสินบนยุบพรรคไทยรักไทย

14 กรกฎาคม 2560
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

จบแล้วคดีสินบนตุลาการรธน.ฎีกาพิพากษาจำคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา" พ.ต.อ.ชาญชัย เนติรัฐการ " เสนอเงินสินบน 30 ล้านตุลาการรัฐธรรมนูญเอื้อประโยชน์คดียุบพรรคไทยรักไทยปี 2549

14 ก.ค.60 ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ อ.3559/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.ชาญชัย เนติรัฐการ อายุ 75 ปี อดีต ผกก.สภ.ต.โพธิ์แก้ว อ.สามพราน จ.นครปฐม เป็นจำเลย ในความผิดฐาน ผู้ใดขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน ฯ เพื่อจูงใจให้กระทำหรือไม่กระทำการที่มิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 144 และผู้ใดขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานตำแหน่งตุลาการ อัยการ ผู้ว่าคดีหรือพนักงานสอบสวน เพื่อจูงใจให้กระทำหรือไม่กระทำการที่มิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 167
โดยโจทก์ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 25 ก.ย.56 บรรยายพฤติการณ์สรุป เมื่อวันที่ 16 22 ต.ค.49 จำเลยได้ไปพบ ม.ล.ไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่ห้องทำงานที่ศาลฎีกา แล้วรับว่าจะให้เงินจำนวน 15 ล้านบาทกับ ม.ล.ไกรฤกษ์ เพื่อให้ช่วยเหลือในการพิจารณาคดียุบพรรคการเมือง เหตุเกิดที่แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กทม.
ขณะที่จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้คดี อ้างเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนิติศาสตร์ ม.ล.ไกรฤกษ์ การไปพบก็เพื่อส่งหนังสือเชิญร่วมงานเลี้ยงรุ่น และการกล่าวถึงสินบนก็เพียงพูดคุยหยอกล้อในฐานะเพื่อนเท่านั้น เพราะขณะนั้นมีข่าวลือเรื่องวิ่งเต้นคดี

ฎีกาไม่ลดโทษสินบนยุบพรรคไทยรักไทย



ซึ่งคดีได้มีการสืบพยานร่วมปี ต่อมาศาลชั้นต้น ก็ได้มีพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ธ.ค.57 ว่า โจทก์ มี ม.ล.ไกรฤกษ์ ประจักษ์พยานเบิกความซึ่งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ขณะที่การกระทำของจำเลย ถือเป็นการเห็นแก่ตัว ทำลายความเชื่อถือและศรัทธาของระบบศาลและตุลาการซึ่งถือเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน จึงลงโทษให้จำคุก 3 ปีไม่รอลงอาญา พ.ต.อ.ชาญชัย จำเลยฐานจะให้สินบนตุลาการเพื่อจูงใจกระทำการมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 167
ต่อมา พ.ต.อ.ชาญชัย จำเลย ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 19 ก.พ.59 เห็นว่า นอกจากโจทก์ มี ม.ล.ไกรฤกษ์ ประจักษ์พยานว่า จำเลยขอเข้าพบมาแสดงความยินดีและและพูดคุยว่าจำเลยเป็นหนี้บุญคุณ คุณหญิงอ้อ ถ้ายอมช่วยเหลือจะได้รับเงิน 15 ล้านและจำเลยขอส่วนแบ่ง 5 % แล้วจำเลยยังมาพบที่บ้านอีกอ้างนำบัตรเชิญเลี้ยงรุ่นมาให้และพูดลอย ๆว่า 30 ล้านบาท ซึ่งโจทก์ยังมีนายจรัญ ภักดีธนากุล , นายอุดม เฟื่องฟุ้ง และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ผู้พิพากษาและอดีตผู้พิพากษาที่มีตำแหน่งสำคัญ เบิกความถึงกรณีที่ ม.ล.ไกรฤกษ์ ได้เล่าเรื่องจำเลยเข้าพบด้วย โดยพยานก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันที่จะกุเรื่องปรักปรำจำเลย และขณะนั้นพรรคไทยรักไทยเองก็เป็นรัฐบาล หากปรักปรำก็จะเป็นการสร้างความเข้าใจผิด
ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลย จึงเหมาะสมพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ขณะที่จำเลยก็เคยเป็นตำรวจ ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม การกระทำของจำเลยทำให้เสื่อมเกียรติภูมิตุลาการอย่างร้ายแรง ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกคลางแคลงใจต่อกระบวนการยุติธรรม จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ แต่ชั้นพิจารณาจำเลยได้รับข้อเท็จจริงตามฟ้อง จึงพิพากษาแก้เป็นให้จำคุกจำเลย เป็นเวลา 2 ปี แต่ไม่รอการลงโทษโดย พ.ต.อ.ชาญชัย จำเลยได้ยื่นฎีกาต่อสู้คดี และได้รับการปล่อยชั่วคราวในชั้นฎีกา หลังจากยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 300,000 บาทต่อศาลในการประกันตัว
ขณะที่วันนี้ พ.ต.อ.ชาญชัย สวมเสื้อคลุมแจ๊คเก็ตสีน้ำเงิน กางเกงสแลคขายาวสีดำ ใบหน้าสวมแว่นสายตาสีชาและสวมหน้ากากอนามัย เดินทางมาฟังคำพิพากษา พร้อมกับครอบครัวและคนสนิท 5 - 6คน พร้อมด้วยทนายความ

ฎีกาไม่ลดโทษสินบนยุบพรรคไทยรักไทย



ทั้งนี้ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า ฎีกาจำเลยที่กล่าวอ้างว่าพยานหลักฐานโจทก์มีพิรุธน่าสงสัยไม่อาจรับฟังได้นั้น ล้วนแต่เป็นการคัดลอกและตัดตอนจากอุทธรณ์ของจำเลยเกือบทั้งหมด เมื่อผลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำของจำเลยจากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนไว้โดยละเอียดแล้ว ขณะที่ฎีกาของจำเลยไม่ได้กล่าวโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งดังนั้นต้องห้ามฎีกา ตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบมาตรา 193 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ส่วนฎีกาของจำเลยประการอื่นเกี่ยวกับการกระทำผิดตามฟ้องก็ล้วนเป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่ได้ให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยให้
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอลงการลงโทษนั้น เห็นว่า แม้จำเลยมีอายุ 75 ปี และมีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูงต้องพบแพทย์เป็นประจำ และประกอบคุณงามความดีขณะอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ราชการ และไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเคยเป็นข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมมาก่อน จำเลยย่อมรู้ดีว่าการเสนอให้เงินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานในตำแหน่งตุลาการโดยเฉพาะการเสนอให้เงินแก่ ม.ล.ไกรฤกษ์ ขณะปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งตุลาการรัฐธรรมนูญ เพื่อจูงใจให้ช่วยเหลือการพิจารณาคดียุบพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นคดีที่สำคัญอยู่ในความสนใจของประชาชนนั้น จึงนับว่าเป็นความพยายามที่จะบิดเบือนความยุติธรรมและเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือ ศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสถาบันศาล การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลยพินิจลงโทษจำคุกโดยลดโทษให้ 1 ใน 3 ให้จำคุก 2 ปีโดยไม่รอการลงโทษนั้นเหมะสมแก่พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดของจำเลยแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อฟังคำพิพากษาแล้ว ภรรยาและบุตร ก็ได้เข้าสวมกอด พ.ต.อ.ชาญชัย ให้กำลังใจ ก่อนที่เจ้าหน้าราชทัณฑ์จะควบคุมตัวไปคุมขังยังเรือนจำคลองเปรม เพื่อรับโทษ 2 ปีตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลฎีกาต่อไป
โดยทนายความของ พ.ต.อ.ชาญชัย เปิดเผยว่า ในชั้นฎีกา ได้ขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ โดยระบุถึงสุขภพของ พ.ต.อ.ชาญชัยว่า มีโรคประจำตัวความดันสูง แต่ทั้งนี้ศาลพิจารณาเห็นว่ากรณีไม่มีเหตุสมควร ประกอบกับจำเลยก็เป็นอดีตนายตำรวจที่ได้กระทำผิดลงไป จึงไม่รอการลงโทษ

logoline